ID
stringlengths 9
13
| Domain
stringclasses 4
values | Instruction
stringlengths 9
3.44k
| Input
stringlengths 0
125k
⌀ | Output
stringlengths 11
31.6k
| Tags
stringlengths 0
676
⌀ | Task_type
stringclasses 7
values | License
stringclasses 2
values |
---|---|---|---|---|---|---|---|
Retail_56734 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....คราวด์ฟันดิงเป็นช่องทางระดมทุนที่เปิดโอกาสให้คนที่มีไอเดีย มีความตั้งใจจริง แต่มีเงินทุนจำกัด สามารถนำเสนอโปรเจค และระดมทุนจากผู้สนับสนุน | null | ฝันใหญ่ กับ เงินทุนน้อย: บทเรียนจากคราวด์ฟันดิง
ณ ร้านกาแฟเล็ก ๆ ใจกลางกรุงเทพ สองเพื่อนสนิท ก้อง และ ฝน กำลังจดจ่อกับหน้าจอแล็ปท็อป บนหน้าจอปรากฏเว็บไซต์ของ Funding Portal แพลตฟอร์มระดมทุนผ่านระบบคราวด์ฟันดิง
"ยอดเงินใกล้ถึงเป้าหมายแล้วนะ" ก้องพูดด้วยความตื่นเต้น
"ใช่ ใกล้ถึง 50 ล้านบาทแล้ว เหลืออีกแค่ 2 ล้าน" ฝนตอบ
ก้องและฝน กำลังระดมทุนผ่านระบบคราวด์ฟันดิงเพื่อเปิดร้านขายของ handmade ฝันของพวกเขาเริ่มต้นจากงานอดิเรก ฝนชอบถักโครเชต์ ก้องชอบวาดรูป ทั้งคู่มักจะออกแบบและประดิษฐ์ของใช้ ของตกแต่งบ้าน เพื่อน ๆ ต่างชื่นชอบในผลงาน ก้องและฝนจึงตัดสินใจลองขายสินค้าออนไลน์ ผลปรากฏว่า สินค้าขายดีเกินคาด
"เราสองคนลาออกจากงานประจำมาทำธุรกิจนี้เต็มตัวแล้ว" ฝนอธิบาย "แต่เงินทุนยังไม่เพียงพอ เราอยากขยายร้าน จ้างพนักงานเพิ่ม และพัฒนาสินค้าใหม่"
"คราวด์ฟันดิงเป็นตัวเลือกที่ดี" ก้องพูด "เราลองเขียนโปรเจค เสนอไอเดีย และระดมทุนผ่าน Funding Portal"
ก้องและฝนลงทุนศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับคราวด์ฟันดิงอย่างละเอียด พวกเขาเขียนโปรเจคอย่างน่าสนใจ อธิบายธุรกิจ สินค้า แผนการตลาด และเป้าหมายการระดมทุน พวกเขาถ่ายวิดีโอสั้น ๆ แนะนำตัว พูดถึงสินค้า และแสดงความตั้งใจจริง
"เราเปิดรับระดมทุน 20 ล้านบาท" ก้องบอก "แต่ตอนนี้ยอดเงินทะลุ 50 ล้านแล้ว แสดงว่าคนสนใจสินค้าของเรา และเชื่อในฝันของเรา"
"นี่เป็นบทพิสูจน์ว่า ของ handmade มีตลาด มีคนซื้อ และธุรกิจนี้มีอนาคต" ฝนพูดด้วยความมั่นใจ
"เราต้องขอบคุณผู้สนับสนุนทุกคน" ก้องกล่าว "พวกเขาคือกำลังใจสำคัญ ที่ทำให้ฝันของเรามีโอกาสเป็นจริง"
"นี่เป็นบทเรียนสำคัญ ว่าเงินทุนไม่ใช่อุปสรรค ถ้าเรามีไอเดียที่ดี มีความตั้งใจจริง และกล้าที่จะฝัน" ฝนสรุป
ก้องและฝน ยิ้มให้กัน พวกเขารู้ดีว่า เส้นทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล แต่พวกเขามีความมุ่งมั่น มีกำลังใจ และพร้อมที่จะเผชิญความท้าทาย เพื่อทำให้ฝันใหญ่ของพวกเขาเป็นจริง | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56735 | Retail | อะไรคือกลยุทธ์สำคัญของ Starbucks ในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรายได้ในยุคดิจิทัล | null | กลยุทธ์สำคัญของ Starbucks ในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรายได้ในยุคดิจิทัล มีดังนี้
1. ขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง:
ตั้งเป้ามี 800 สาขาในประเทศไทยภายในปี 2030
ขยายสาขาไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ
เน้นโมเดลสาขาที่หลากหลาย เช่น หน้าร้านปกติ, หน้าร้านแบบ Reserve และหน้าร้านที่มีบริการ Drive-Thru
2. มุ่งเน้นช่องทางดิจิทัล:
พัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับสั่งเครื่องดื่มและเมนูต่าง ๆ
ร่วมมือกับแพลตฟอร์มเดลิเวอรี
จำหน่ายสินค้าอื่น ๆ ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
3. พัฒนาสินค้าและบริการ:
นำเสนอเมนูใหม่ ๆ ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
พัฒนาบริการพิเศษ เช่น บริการ Drive-Thru
เน้นสินค้าที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เช่น แก้วและกระติก
4. ยกระดับการทำตลาด:
มุ่งเน้นการทำตลาดแบบดิจิทัล
ร่วมมือกับ Influencer และ KOL
สนับสนุนกิจกรรม CSR
5. รักษาความยั่งยืน:
เปิดร้านกาแฟเพื่อชุมชน
ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ลดการใช้น้ำ และของเสีย
ตัวอย่าง:
Starbucks เปิดตัวแอปพลิเคชัน Starbucks Thailand ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถสั่งเครื่องดื่มและเมนูต่าง ๆ ล่วงหน้า ชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน และรับสินค้าได้โดยไม่ต้องลงจากรถ
Starbucks ร่วมมือกับ GrabFood, Lineman และ Foodpanda เพื่อให้บริการเดลิเวอรี
Starbucks เปิดตัวเมนูใหม่ ๆ ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า เช่น เมนู Vegan และเมนู Low-Fat
อย่างไรก็ตาม Starbucks ยังมีอุปสรรคหลายประการ เช่น
การแข่งขันจากร้านกาแฟอื่น ๆ
ปัญหาเมล็ดกาแฟมีราคาปรับตัวสูงขึ้น
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค
แนวทางเพิ่มเติม:
Starbucks ควรพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ
พัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้า
ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
สรุป:
กลยุทธ์สำคัญของ Starbucks ในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรายได้ในยุคดิจิทัล ประกอบด้วย การขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นช่องทางดิจิทัล พัฒนาสินค้าและบริการ ยกระดับการทำตลาด และรักษาความยั่งยืน Starbucks จำเป็นต้องพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ พัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้า และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
อนาคตของธุรกิจร้านกาแฟ ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อไป Starbucks มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในตลาดนี้ แต่ต้องปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56742 | Retail | อะไรเป็นอุปสรรคต่อการขยายสาขา Apple Store ในอินเดีย? | null | จากบทความ มีหลายปัจจัยที่ทำให้ Apple Store ขยายสาขาในอินเดียได้ช้ากว่าประเทศอื่น ๆ
1. ราคาสินค้า:
สินค้าของ Apple มีราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น ๆ ในตลาดอินเดีย
ประชากรส่วนใหญ่ในอินเดียมีรายได้ต่อหัวต่ำ
ทำให้การซื้อสินค้า Apple เป็นเรื่องยากสำหรับคนจำนวนมาก
2.ช่องทางจำหน่าย:
Apple เน้นการจำหน่ายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายมากกว่าการเปิดร้านค้าเอง
ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการซื้อสินค้า Apple น้อย
และอาจไม่สะดวกสำหรับผู้บริโภคในบางพื้นที่
3. กฎระเบียบของรัฐบาล:
รัฐบาลอินเดียมีกฎระเบียบที่เข้มงวดสำหรับการค้าปลีกต่างประเทศ
ทำให้ Apple ต้องใช้เวลาและเงินทุนจำนวนมากในการขอใบอนุญาต
และอาจทำให้การขยายสาขาทำได้ยากขึ้น
4. การแข่งขัน:
ตลาดสมาร์ทโฟนในอินเดียมีการแข่งขันสูง
มีแบรนด์จีนหลายแบรนด์ที่นำเสนอสินค้าในราคาที่ย่อมเยากว่า
ทำให้ Apple ต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาส่วนแบ่งตลาด
5. โครงสร้างพื้นฐาน:
โครงสร้างพื้นฐานในอินเดียยังไม่พัฒนาเท่าประเทศอื่น ๆ
ทำให้การขนส่งสินค้าและการบริการลูกค้าอาจทำได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม Apple กำลังพยายามเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้
โดยการเปิดตัว iPhone รุ่นราคาประหยัด
ขยายช่องทางจำหน่ายออนไลน์
และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
การเปิด Apple Store แห่งแรกในอินเดีย
เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Apple ที่จะขยายตลาดในอินเดีย
และคาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายของ Apple ในอินเดียได้
แต่ Apple ยังมีอุปสรรคอีกหลายอย่างที่ต้องเผชิญ
การแข่งขันที่รุนแรง: แบรนด์จีนอย่าง Xiaomi, Oppo และ Vivo ต่างมีส่วนแบ่งตลาดในอินเดียมากกว่า Apple
ราคาสินค้า: iPhone ยังคงมีราคาสูง เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น ๆ
โครงสร้างพื้นฐาน: โครงสร้างพื้นฐานในอินเดียยังไม่พัฒนาเท่าประเทศอื่น ๆ
ดังนั้น
Apple จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน
เพื่อเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้
และประสบความสำเร็จในตลาดอินเดีย | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56749 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....สิ่งสำคัญที่ควรตระหนักคือ ความสุขที่แท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นจากวัตถุสิ่งของ แต่เกิดขึ้นจากภายในจิตใจ | null | แสงไฟ สะท้อนเงา
ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร บนถนนพระราม 4 อันคึกคัก โครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ "วัน แบงค็อก" กำลังสร้างตัวตนขึ้นมาอย่างสง่างาม ภายใต้คอนเซปต์ "จักรวาลของชีวิตเมือง" พื้นที่แห่งนี้เปรียบเสมือนเวทีที่รวบรวมทุกมิติของการใช้ชีวิตไว้ด้วยกัน
หนึ่งในนั้นคือ "โลกแห่งไลฟ์สไตล์" พื้นที่ค้าปลีกที่ออกแบบมาเพื่อเติมเต็มประสบการณ์การช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ ร้านค้าต่างๆ เรียงรายอย่างสวยงาม แสงไฟจากเพดานสาดส่องลงมา สะท้อนเงาบนพื้นหินอ่อน สะท้อนภาพความทันสมัยและหรูหรา
ณ ร้านขายเครื่องประดับชั้นนำ หญิงสาวชื่อ "มาลิน" กำลังยืนมองสร้อยคอเพชรเม็ดเป้งที่วางโชว์อยู่บนตู้กระจก สายตาของเธอฉายแววความหลงใหล
"สวยมากเลยค่ะ" พนักงานขายเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
"ใช่ค่ะ สวยมาก" มาลินตอบ พลางแตะสร้อยคอเบาๆ "แต่ราคาคงจะแพงมากสินะ"
"ไม่แพงอย่างที่คิดหรอกค่ะ" พนักงานขายอธิบาย "ทางร้านเรามีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าวีไอพี เพียงคุณสมัครสมาชิก รับส่วนลดทันที 10%"
มาลินรู้สึกสนใจ เธอสมัครสมาชิกและซื้อสร้อยคอเพชรเส้นนั้นด้วยความดีใจ
ในอีกมุมหนึ่งของห้างสรรพสินค้า เด็กหนุ่มชื่อ "ต้น" กำลังเดินเล่นกับกลุ่มเพื่อน สายตาของเขาจับจ้องไปที่ร้านเกม VR
"ไปเล่นกันเถอะ" ต้นชักชวนเพื่อน
"ได้สิ" เพื่อนๆ ตอบรับ
พวกเขาเดินเข้าไปในร้านและสวมอุปกรณ์ VR เด็กหนุ่มดำดิ่งสู่โลกเสมือนจริง เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและเร้าใจ
หลังจากเล่นเสร็จ ต้นรู้สึกประทับใจมาก "สนุกมากเลย ไว้มาเล่นอีกแน่นอน" เขาพูดกับเพื่อน
โลกแห่งไลฟ์สไตล์ที่ "วัน แบงค็อก" นำเสนอ เต็มไปด้วยสีสันและความหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56753 | Retail | กลยุทธ์การดึงดูดลูกค้าของศูนย์การค้าเซ็นทรัล ศรีราชา มีอะไรบ้าง และแต่ละกลยุทธ์ส่งผลต่อลูกค้ากลุ่มใด? | บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้นำเบอร์หนึ่งในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย จัดฉลองความสำเร็จ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ศรีราชา ครบรอบ1 ปี ด้วยต้นแบบโครงการมิกซ์ยูสแห่งอนาคต ที่ครบครันที่สุดและใหญ่ที่สุดแห่งแรกในภาคตะวันออก สามารถดึงดูดนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติให้หลั่งไหลเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจสร้างความพร้อมที่จะเป็นเมืองศูนย์กลางที่สำคัญ พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัด สร้างงานกระจายรายได้สู่ชุมชน และผลักดันเศรษฐกิจในระดับประเทศ มียอด Traffic Shopper สูงต่อเนื่องตลอด 1 ปี กว่า 25,000 คนต่อวัน จากลูกค้าท้องถิ่น และกลุ่ม Japanese Expat ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “เซ็นทรัล ศรีราชาเป็นหนึ่งในโครงการ Retail-Led Mixed-Use Development ตามแผนธุรกิจ 5 ปี เพื่อขยายโครงการครอบคลุมกว่า 30 จังหวัดทั่วประเทศ จากการที่เป็นศูนย์การค้าที่สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้าทุกกลุ่มทั้งคนในพื้นที่และจังหวัดรอบข้างด้วยการเพิ่มบริการใหม่ๆ รวมถึงสร้างอีเว้นท์ Newness อย่างต่อเนื่อง ทำให้เซ็นทรัล ศรีราชาเป็น Center of Life หรือศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดให้กับชาวศรีราชาอย่างแท้จริง” เซ็นทรัล ศรีราชา ยังยกทัพกิจกรรมและโปรโมชั่นแทนคำขอบคุณลูกค้าที่อยู่คู่กันมาตลอด 1 ปี 1.ร่วมกับศิลปินนักวาดภาพประกอบระดับโลก คุณจิรายุ คูอมรพัฒนะ เจ้าของผลงานน้องกลมกลม ได้ออกแบบคาแรกเตอร์สุดน่ารักให้กับงาน ที่เป็น Cake Lady คุณผู้หญิงนักช้อป Signature Character ที่มาในรูปแบบของเค้กแห่งการเฉลิมฉลอง ปลายผมพลิ้วที่ดูคล้ายเปลวเทียน พร้อมชู 1 นิ้ว แทนสัญลักษณ์ครบรอบ 1 ปี เป็นบอลลูนสุดคิ้วส์สูงกว่า 8 เมตร 2.งานถักทอเฟส ที่ตกแต่งภายในงานด้วยผ้าทอ ทำเป็นหลังคาผ้าหลากสีสันยาวกว่า 10 เมตร และสินค้า Handicraft, สินค้า เครื่องประดับ เครื่องดื่ม Organicต่างๆมากมาย กว่า30 ร้านค้า 3.โปรโมชั่นเอาใจนักช้อปแบบจัดเต็ม สิทธิพิเศษ 1 : TOP SPENDER REWARD* -3 Top Spenders* สำหรับลูกค้าที่มียอดใช้จ่ายสะสมสูงสุดตลอดรายการ จากร้านค้าที่ร่วมรายการในโซนพลาซาที่อยู่ภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัล และโซน PLAYHOUSE เท่านั้น (โดยมียอดขั้นต่ำ 150,000 บาทขึ้นไป)จำนวน 3 รางวัล ประกอบด้วย 1. TV SAMSUNG 2. APPLE iPad mini 3. APPLE Watch สิทธิพิเศษ 2 : ช้อปครบทุก 1,000 บาท รับสิทธิ์ลุ้น* รางวัลใหญ่ รถจักรยานยนต์ HONDA และรางวัล ช้อป ฟิน กิน เที่ยว ฟรีตลอดทั้งปี สิทธิพิเศษ 3 : ช้อปครบรับฟรี* -เมื่อช้อปสินค้ากับร้านค้าที่ร่วมรายการครบ 4,500 บาทขึ้นไป รับฟรีกระเป๋าผ้าดีไซน์พิเศษ โดย Jirayu Koo 1 ใบ มูลค่า 990 บาท -เมื่อช้อปสินค้ากับร้านค้าที่ร่วมรายการครบ 1,500 บาทขึ้นไป รับทันที ที่ติดโทรศัพท์มือถือดีไซน์พิเศษ 1 ชิ้น มูลค่า 250 บาท Happy 1st Anniversary Central Si Racha -เมื่อทานอาหารกับร้านค้าที่ร่วมรายการครบ 800 บาทขึ้นไป รับฟรี Movie Happy Set 1 ชุด ประกอบด้วย Movie Complimentary Voucher 1 ใบ มูลค่า 250 บาท, M GEN Next 1 ใบ มูลค่า100 บาท และคูปองส่วนลด มูลค่า160 บาท สิทธิพิเศษ 4 : พิเศษ สำหรับสมาชิก The 1 Family รับ สติกเกอร์ Happy 1st Anniversary Limited Edition (มูลค่า100บาท) สิทธิพิเศษ 5 :The 1 Tourist (เฉพาะลูกค้าต่างชาติเท่านั้น) พิเศษเฉพาะสมาชิก The 1 Tourist รับทันที สติกเกอร์ Happy 1st Anniversary Limited Edition (มูลค่า 100 บาท) เพียงแสดงพาสปอร์ต และใบเสร็จที่ซื้อสินค้าภายในศูนย์การค้า เซ็นทรัลศรีราชา เป็นศูนย์การค้าลำดับที่ 35 ของเซ็นทรัลพัฒนา ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท ทางหลวง สายหลักสู่ภาคตะวันออก และเป็นโครงการแบบมิกซ์ยูสที่ครบครันและใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก ประกอบด้วย ศูนย์การค้ารูปแบบ Semi-Outdoor แห่งแรกนอกกรุงเทพฯ, คอนเวนชั่นฮอลล์, โรงแรม, เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ และอาคารสำนักงาน สามารถจอดรถยนต์ได้ 1,800 คัน และจักรยานยนต์กว่า 800 คัน ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์เดสติเนชั่นแห่งอนาคต และศูนย์กลางการใช้ชีวิต (Center of Life) ยุคใหม่ที่ครบทุกมิติ รวมสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและศูนย์กลางกิจกรรมทุกประเภทที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ของเมืองศรีราชา | ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ศรีราชา ฉลองครบรอบ 1 ปี ด้วยความสำเร็จที่น่าประทับใจ โดยดึงดูดลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติให้หลั่งไหลเข้ามาจับจ่ายใช้สอย
กลยุทธ์สำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จนี้ ประกอบไปด้วย
1. ตอบสนองไลฟ์สไตล์ลูกค้าทุกกลุ่ม
-ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ศรีราชา มุ่งมั่นตอบสนองไลฟ์สไตล์ลูกค้าทุกกลุ่ม โดยนำเสนอสินค้าหลากหลายประเภท ครอบคลุมทุกความต้องการ
-มีร้านค้าแบรนด์ดังระดับโลก ร้านอาหารชั้นนำ ร้านค้าทั่วไป ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา ซูเปอร์มาร์เก็ต โรงภาพยนตร์ ฟิตเนส สนามเด็กเล่น และพื้นที่สำหรับกิจกรรมต่างๆ
-พื้นที่ได้รับการออกแบบอย่างทันสมัย สะดวกสบาย และปลอดภัย
-บริการที่หลากหลาย เช่น บริการลูกค้า บริการรับฝากสัมภาระ บริการ Wi-Fi ฟรี ฯลฯ
2. เพิ่มบริการใหม่และสร้างอีเวนท์ Newness อย่างต่อเนื่อง
-ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ศรีราชา มุ่งมั่นสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือกว่า
-มีกิจกรรมและอีเวนท์ที่หลากหลาย ตลอดทั้งปี
-กิจกรรมเหล่านี้ cater to ความสนใจของลูกค้าทุกกลุ่ม
-ตัวอย่างกิจกรรม ได้แก่ คอนเสิร์ต งานแฟชั่นโชว์ กิจกรรมสำหรับเด็ก กิจกรรมสำหรับครอบครัว เทศกาลอาหาร ฯลฯ
3. สร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าช้อปปิ้ง
-ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ศรีราชา เสนอโปรโมชั่นและส่วนลดมากมาย
-ลูกค้าสามารถรับคะแนนสะสม The 1 Card และแลกคะแนนเป็นรางวัล
-มีกิจกรรมแจกของรางวัล
-ลูกค้าสามารถติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นต่างๆ ผ่านเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียของศูนย์การค้า
ผลลัพธ์
กลยุทธ์เหล่านี้ส่งผลดีต่อลูกค้าทุกกลุ่ม ดังนี้
-ลูกค้าท้องถิ่น รู้สึกภูมิใจที่มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่และทันสมัยอยู่ในท้องถิ่น
ลูกค้าจากจังหวัดรอบข้าง: สะดวกในการเดินทางมาช้อปปิ้ง
-นักท่องเที่ยว รู้สึกประทับใจกับสินค้า บริการ และกิจกรรมต่างๆ ของศูนย์การค้า
-นักลงทุน มั่นใจในศักยภาพของศูนย์การค้า และตัดสินใจลงทุนประกอบธุรกิจ
บทสรุป
ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ศรีราชา ประสบความสำเร็จอย่างมากในปีแรกที่เปิดให้บริการ กลยุทธ์การดึงดูดลูกค้าที่หลากหลายและครอบคลุม ส่งผลดีต่อลูกค้าทุกกลุ่ม โดยศูนย์การค้าแห่งนี้กลายเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำสำหรับการช้อปปิ้ง พักผ่อนหย่อนใจ และใช้เวลากับครอบครัว | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56758 | Retail | Samsung Galaxy XCover 5 เหมาะกับธุรกิจค้าปลีกอย่างไร? | “จากเทรนด์ด้านการทำงานที่เปลี่ยนไป ทำให้บริษัทหลายแห่ง ได้ปรับรูปแบบองค์กร เพื่อรองรับการทำงานแบบไฮบริดมากขึ้น โดยกว่า 50% ขององค์กรในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนแปลงการจัดสรรงบประมาณใหม่ เพื่อลงทุนในโมบายดีไวซ์เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมา
พร้อมทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต จากผลการสำรวจของ IDC ในเอเชียแปซิฟิก คาดการณ์ว่า จำนวนพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริด จะพุ่งสูงถึง 25% หลังจากที่การฉีดวัคซีนดำเนินการเสร็จสิ้น ซึ่งเทียบจากเดิมที่มีเพียง 19% เท่านั้น” ในครึ่งปีแรกของปี 2564 กลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กรของ Samsung ประเทศไทย ยังคงครองความเป็นหนึ่งในผู้นำตลาด ด้วยยอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นถึง 15% เมื่อเทียบกับปี 2563 โดยเมื่อแบ่งตามประเภทผลิตภัณฑ์ จะพบว่ายอดจำหน่ายส่วนใหญ่ มาจากกลุ่ม Rugged Device (อุปกรณ์ที่มีความทนทานสูง) ที่เพิ่มขึ้นถึง 65% Samsung ถือเป็นแบรนด์เดียวในประเทศไทย ที่มีกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้าองค์กร ที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งกลุ่มสมาร์ตโฟนระดับเริ่มต้น, สมาร์ตโฟนระดับแฟลกชิป, Rugged Device รวมถึงแท็บเล็ต ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ Samsung ได้นำเสนอให้กับลูกค้านั้น ได้รับการพิจารณาถึงความเหมาะสม เพื่อให้เข้ากับแต่ละรูปแบบธุรกิจ โดยสมารตโฟนจะเหมาะกับลูกค้ากลุ่มธุรกิจองค์กร ในขณะที่ Rugged Device ที่มีความโดดเด่นด้านความทนทาน จะพร้อมรองรับการทำงานของธุรกิจค้าปลีก (Retail) โดยเฉพาะในส่วนงานบริหารจัดการคลังสินค้า, ธุรกิจธนาคาร (Banking FSI), ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ (Health Care) เช่น Wellness Center และ Telehealth
ธุรกิจขนส่ง (Logistics) และธุรกิจการศึกษา (Education) ดังนั้น ด้วยจุดเด่นดังกล่าว ทำให้บริษัทคาดว่าจะสามารถพิชิตเป้าหมายการเติบโตที่ 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาได้สำเร็จ ล่าสุดในปีนี้ Samsung ยังได้มีขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ ด้วยการนำเสนอ Rugged Device รุ่นล่าสุด
อย่าง “Samsung Galaxy XCover 5” ที่พร้อมสำหรับการทำงานในทุกสภาพแวดล้อม ตอบโจทย์การทำงานแบบไฮบริดได้เป็นอย่างดี จากมาตรฐาน IP68
กันน้ำจืดได้ลึกถึง 1.5 เมตรเป็นเวลาสูงสุด 30 นาที พร้อมทั้งกันฝุ่น ดิน และทราย) และ MIL-STD 810H
มาตรฐานการทดสอบ ที่ออกแบบโดยกองทัพสหรัฐฯ เพื่อประเมินขีดจำกัดต่าง ๆ ของอุปกรณ์ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งรวมไปถึงการปล่อยโทรศัพท์จากที่สูง 1.5 เมตร ให้ตกลงบนพื้นผิวเหล็กกล้า และ Samsung Galaxy XCover 5 มาพร้อมกับจอแสดงผล HD+ ขนาดใหญ่ 5.3 นิ้ว เพื่อการรับชมที่คมชัดในทุกรายละเอียด Close Ad Close Ad รวมถึงยังไวต่อการสัมผัส ทำให้ถึงแม้เปียกเหงื่อ, เปียกน้ำ, สวมถุงมืออยู่ ก็ยังสามารถสัมผัสหน้าจอได้ เพื่อใช้งานได้อย่างสะดวก สามารถสแกน QR Code ได้หลาย ๆ สินค้า ในครั้งเดียว
ตอบโจทย์การปฏิบัติงานของพนักงานในองค์กร อาทิ การสแกนข้อมูลหลาย ๆ สินค้า ในคลังสินค้า พร้อมกันในคราวเดียว, การสแกนข้อมูลยา ในโรงพยาบาล เพื่อการแจกจ่ายยา เป็นต้น นอกจากนี้ Samsung Galaxy XCover 5
ยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 3,000 mAh ที่ถอดเปลี่ยนได้ ทำให้ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดทั้งวัน รวมถึงความปลอดภัยในระดับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จาก Samsung Knox เพื่อการปกป้องข้อมูลสำคัญอันล้ำค่าขององค์กร จากมัลแวร์และการคุกคามที่เป็นอันตราย ดร.มารุต กล่าวเพิ่มเติมว่า “อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจของบริษัทฯ ทำให้ค้นพบว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ลูกค้ากลุ่มธุรกิจองค์กรหลายราย เริ่มค้นพบว่า การเตรียมความพร้อมแค่ในเรื่องสมาร์ตดีไวซ์ที่ดีอย่างเดียวนั้น ไม่เพียงพอ | Samsung Galaxy XCover 5 เหมาะกับธุรกิจค้าปลีก เนื่องด้วยคุณสมบัติที่ตอบโจทย์การใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในคลังสินค้า ดังนี้:
1. ความทนทาน:
- ได้รับมาตรฐาน IP68 กันน้ำจืดได้ลึกถึง 1.5 เมตร นาน 30 นาที กันฝุ่น ดิน และทราย
- ผ่านมาตรฐาน MIL-STD 810H ทนทานต่อแรงกระแทก ตกจากที่สูง 1.5 เมตร ลงบนพื้นผิวเหล็กกล้า
- ตัวเครื่องแข็งแรง ทนทานต่อการใช้งานหนัก เหมาะกับสภาพแวดล้อมในคลังสินค้า
2. หน้าจอสัมผัสที่ไว:
- หน้าจอ HD+ ขนาด 5.3 นิ้ว แสดงผลคมชัด
- รองรับการสัมผัสแม้เปียกเหงื่อ เปียกน้ำ หรือสวมถุงมือ
- ช่วยให้พนักงานทำงานได้สะดวก รวดเร็ว โดยไม่ต้องถอดถุงมือ
3. ฟังก์ชันการสแกน QR Code:
- สแกน QR Code หลายรายการพร้อมกัน
- ช่วยให้พนักงานคลังสินค้าสแกนข้อมูลสินค้า ตรวจสอบสต๊อก จัดการสินค้าได้รวดเร็ว
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดข้อผิดพลาด และประหยัดเวลา
4. แบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้:
- แบตเตอรี่ความจุ 3,000 mAh ทำงานได้ยาวนานตลอดทั้งวัน
- ถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ง่าย โดยไม่ต้องปิดเครื่อง ช่วยให้พนักงานทำงานต่อเนื่องโดยไม่ต้องหยุดชาร์จ
- เหมาะกับธุรกิจค้าปลีกที่ต้องการใช้งานอุปกรณ์ตลอดเวลา เช่น คลังสินค้า ร้านค้าปลีก
5. ความปลอดภัย:
- ระบบ Samsung Knox ปกป้องข้อมูลสำคัญขององค์กรจากมัลแวร์และภัยคุกคาม
- ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกมั่นใจได้ว่าข้อมูลลูกค้าและข้อมูลธุรกรรมมีความปลอดภัย
- ลดความเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล
ตัวอย่างการใช้งาน Samsung Galaxy XCover 5 ในธุรกิจค้าปลีก:
- คลังสินค้า: พนักงานคลังสินค้าใช้ XCover 5 สแกน QR Code บนสินค้า ตรวจสอบสต๊อก จัดการสินค้า รับสินค้าเข้าคลังสินค้า จัดส่งสินค้าออกจากคลังสินค้า
- ร้านค้าปลีก: พนักงานขายใช้ XCover 5 ตรวจสอบราคาสินค้า สแกน QR Code เพื่อรับส่วนลด ตรวจสอบโปรโมชั่น ชำระเงินผ่านระบบ QR Code
- การบริการลูกค้า: พนักงานบริการลูกค้าใช้ XCover 5 ตรวจสอบข้อมูลลูกค้า ตรวจสอบประวัติการซื้อสินค้า ตอบคำถามลูกค้าผ่านระบบวิดีโอคอล
สรุป:
Samsung Galaxy XCover 5 เหมาะกับธุรกิจค้าปลีกที่ต้องการอุปกรณ์ที่ทนทาน ใช้งานง่าย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ช่วยให้พนักงานทำงานได้สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจโดยรวมในด้านประสิทธิภาพการทำงาน การบริการลูกค้า และความปลอดภัยของข้อมูล | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56767 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ธุรกิจค้าปลีกในยุคใหม่ต้องปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ | null | แสงสว่างแห่งดีไซน์: บทเพลงแห่งการช็อปปิ้ง
ณ ใจกลางย่านบางนา แหล่งรวมความเจริญรุ่งเรือง แสงไฟสว่างไสวจากอาคารดีไซน์ล้ำสมัย ดึงดูดสายตาผู้คนให้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ใหม่แห่งการช็อปปิ้ง "Design Village บางนา" สถานที่ที่รวบรวมความหลากหลายของไลฟ์สไตล์ไว้ครบครัน
"มาค่ะคุณพ่อ มาดูเฟอร์นิเจอร์ใหม่กัน" เสียงใสของ "ลลิน" เด็กหญิงวัย 10 ขวบ ดึงมือ "คุณพีระ" พ่อของเธอ มุ่งหน้าสู่ "อาคารบุญถาวร" แหล่งรวมสินค้าตกแต่งบ้านชั้นนำ
คุณพีระ ชายวัย 40 กว่าปี เจ้าของธุรกิจร้านอาหาร กำลังมองหาเฟอร์นิเจอร์ใหม่เพื่อแต่งร้าน เขารู้สึกตื่นตาตื่นใจกับดีไซน์ทันสมัยและหลากหลายของสินค้าที่นี่ พนักงานขายที่ยิ้มแย้มแจ่มใสให้คำปรึกษาอย่างมืออาชีพ ช่วยให้เขาตัดสินใจเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะกับสไตล์ของร้านได้อย่างลงตัว
"คุณพ่อคะ หนูหิวแล้ว" ลลินเอ่ยขึ้น
"ไปหาอะไรทานกันดีกว่า" คุณพีระตอบ
ทั้งคู่เดินออกจากอาคารบุญถาวร มุ่งหน้าสู่ "อาคาร Lifestyle Retail" แหล่งรวมร้านอาหารและร้านค้ามากมาย
"ทานอะไรดีนะ?" ลลินมองดูร้านอาหารต่างๆ ด้วยความตาลุกวาว
"ลองทานอาหารไทยดูไหม?"คุณพีระเสนอ
"ดีค่ะ หนูชอบทานอาหารไทย
พวกเขาเลือกทานอาหารกลางวันกันที่ "รสนิยม" ร้านอาหารไทยบรรยากาศย้อนยุค รสชาติอาหารอร่อย บริการดีเยี่ยม
หลังทานอาหารเสร็จ ลลินอยากไปดูเสื้อผ้าใหม่ คุณพีระจึงพาเธอไปที่ "Uniqlo Roadside" ร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดัง
"ลองชุดนี้ดูสิ" คุณพีระหยิบเสื้อยืดสีสดใสให้ลูกสาว
"สวยค่ะ หนูชอบ" ลลินลองเสื้อและยิ้มอย่างมีความสุข
"คุณพ่อคะ หนูอยากได้ตุ๊กตาหมี" ลลินอ้อน
"ได้สิ ไปดูกันที่ร้านของเล่นตรงนั้น"
พวกเขาเดินไปที่ "Gourmet Market Standalone Flagship" ซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ที่รวบรวมสินค้าหลากหลาย
"ว้าว ของเล่นเยอะมาก!" ลลินวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน
คุณพีระมองดูลูกสาวด้วยรอยยิ้ม เขารู้สึกดีที่ได้ใช้เวลาร่วมกับลูกสาวในสถานที่ที่เธอมีความสุข
"คุณพ่อคะ หนูชอบที่นี่จังเลย" ลลินพูด
"คุณพ่อก็ชอบนะ ที่นี่มีครบทุกอย่าง สะดวกสบาย ดีไซน์ก็สวย"
"คุณพ่อคะ หนูอยากมาอีก"
"ได้สิ ไว้เรามาอีกนะ"
พวกเขาออกจาก Design Village บางนา ด้วยความประทับใจ แสงไฟจากอาคารยังคงส่องสว่าง สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของธุรกิจค้าปลีกในยุคใหม่ Design Village บางนา เปรียบเสมือนบทเพลงแห่งการช็อปปิ้งที่ขับกล่อมผู้คนด้วยความหลากหลาย สะดวกสบาย และประสบการณ์การช็อปปิ้งที่เหนือระดับ | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56769 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ธุรกิจค้าปลีกมีบทบาทสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับสังคม | null | สายน้ำสีคราม กับภารกิจรักษ์โลก
ณ ชายหาดแม่รำพึง จังหวัดระยอง แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าสาดส่องลงบนผืนทรายสีทอง ทะเลสีครามกว้างใหญ่ไพศาลสะท้อนประกายระยิบระยับ บรรยากาศดูเงียบสงบ ราวกับภาพวาดที่งดงาม
ทว่า หากมองไปบนชายหาด กลับมีสิ่งแปลกปลอมปะปนอยู่กับทรายนั่นคือขยะหลากหลายชนิด ทั้งพลาสติก เศษแก้ว กระป๋อง ขวดน้ำ เด็กหนุ่มวัย 17 ปี นามว่า "ธันวา" ยืนมองภาพตรงหน้าด้วยความหดหู่ใจ
ธันวาเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลาย เขามีความใฝ่ฝันอยากทำงานในธุรกิจค้าปลีก และมีความสนใจในปัญหาสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ วันนี้ เขาตัดสินใจมาร่วมกิจกรรมเก็บขยะชายหาดที่จัดโดย Uniqlo
ธันวาไม่ใช่คนเดียวที่มาในวันนี้ ยังมีจิตอาสาร่วมร้อยคน ต่างคนต่างมีแรงจูงใจ บางคนต้องการช่วยลดมลพิษในทะเล บางคนต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศ และบางคนต้องการทำกิจกรรมเพื่อสังคม
ธันวาร่วมเก็บขยะกับกลุ่มอาสาสมัคร ทุกคนทำงานอย่างขะมักเขม้น ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เสียงหัวเราะ และเสียงพูดคุยดังระงม
หลังจากเก็บขยะเสร็จ ธันวามีโอกาสได้พูดคุยกับ "เขมจิรา" ตัวแทนจาก Uniqlo เขมจิราอธิบายถึงความสำคัญของการรักษาความสะอาดของท้องทะเล
"ท้องทะเลเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญ เป็นทั้งแหล่งอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว และระบบนิเวศที่หลากหลาย แต่ปัจจุบัน ท้องทะเลกำลังเผชิญกับปัญหาขยะจำนวนมหาศาล ขยะเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเล ระบบนิเวศ และความสวยงามของชายหาด " เขมจิรากล่าว
"Uniqlo ตระหนักถึงปัญหานี้ เราจึงริเริ่มโครงการลดขยะในทะเล เพื่อร่วมสร้างโลกที่น่าอยู่ เราหวังว่ากิจกรรมนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อม และร่วมมือกันลดปริมาณขยะในทะเล" เขมจิรากล่าวต่อ
ธันวาฟังเขมจิราด้วยความสนใจ เขาเริ่มเข้าใจว่าธุรกิจค้าปลีกไม่ได้เป็นเพียงแค่การขายสินค้า แต่ธุรกิจยังสามารถมีบทบาทสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับสังคม
ธันวารู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมนี้ เขารู้สึกดีที่ได้ช่วยรักษ์โลก และเขารู้สึกมั่นใจว่าธุรกิจค้าปลีกสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับโลกได้ | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56778 | Retail | กลยุทธ์หลักที่เซ็นทรัลพัฒนาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจ Retail ในอนาคตคืออะไร? | null | เซ็นทรัลพัฒนา มุ่งสู่การเป็น 'The Ecosystem for All' ผ่านกลยุทธ์หลัก 5 ประการ ดังนี้
1. Synergy ทุกธุรกิจ:
- เชื่อมโยงธุรกิจ Retail เข้ากับธุรกิจที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และโรงแรม
- พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Mixed-use Development)
- สร้าง 360-Degree Centre of Life ตอบโจทย์การใช้ชีวิตครบทุกองศา
ตัวอย่าง:
- โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค: ผสมผสานศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน ที่พักอาศัย และโรงแรม
- โครงการเซ็นทรัล เวสต์วิลล์: ศูนย์การค้าที่มีคอนโดมิเนียม โรงแรม และอาคารสำนักงานในโครงการเดียวกัน
2. ขยายไปสู่ธุรกิจ New Assets:
- ลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
- เสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ Retail
ตัวอย่าง:
- ธุรกิจ Healthcare
- ธุรกิจ Data Center
- ธุรกิจ Logistic
3. พัฒนารูปแบบ Retail ใหม่:
- ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง
- มุ่งเน้นประสบการณ์ (Experience)
ตัวอย่าง:
- ศูนย์การค้าแบบ Omni-channel
- ศูนย์การค้าแห่งอนาคต (Future Retail)
4. ขยายฐานลูกค้า:
- เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่
- ขยายไปยังต่างประเทศ
ตัวอย่าง:
- พัฒนาศูนย์การค้าในต่างประเทศ (เวียดนาม)
- เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ
5. มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน:
- ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
- ดูแลสังคม
ตัวอย่าง:
- งดให้ถุงพลาสติก
- สนับสนุนชุมชน
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง:
- รักษาความเป็นผู้นำในตลาด Retail
- เพิ่มรายได้และผลกำไร
- สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
ตัวอย่างเพิ่มเติม:
- การนำเทคโนโลยีมาใช้
- การพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์
- การสร้าง Ecosystem ของตัวเอง
สรุป:
กลยุทธ์หลักของเซ็นทรัลพัฒนา มุ่งเน้นการ Synergy ธุรกิจ ขยายไปสู่ New Assets พัฒนารูปแบบ Retail ใหม่ ขยายฐานลูกค้า และมุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ Retail ของเซ็นทรัลพัฒนา สู่ความสำเร็จในอนาคต | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56782 | Retail | การขยายธุรกิจของยัสปาล โดยการเป็นตัวแทนจำหน่ายแบรนด์ DIESEL จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกของยัสปาลหรือไม่? | null | มีแนวโน้ม เหตุผล:
1. การขยายฐานลูกค้า: DIESEL เป็นแบรนด์แฟชั่นระดับพรีเมียมที่มีฐานลูกค้าติดตามทั่วโลก ช่วยให้ยัสปาลสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง
2. การเพิ่มช่องทางการจำหน่าย: ยัสปาลสามารถจำหน่ายสินค้า DIESEL ผ่านช่องทางต่างๆ ของยัสปาล เช่น ร้านค้าปลีก เว็บไซต์ และแอปพลิเคชัน ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น
3. การเพิ่มภาพลักษณ์แบรนด์: การเป็นตัวแทนจำหน่ายแบรนด์ DIESEL ช่วยเพิ่มภาพลักษณ์แบรนด์ของยัสปาลให้ดูน่าเชื่อถือและเป็นมืออาชีพมากขึ้น
4. การเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ: ประสบการณ์ที่ยัสปาลได้รับจากการเป็นตัวแทนจำหน่าย DIESEL ในประเทศไทย สามารถนำไปใช้เพื่อขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศในอนาคต
ตัวอย่าง:
- ยัสปาลสามารถเปิดร้าน DIESEL แฟล็กชิปสโตร์เพิ่มเติมในเมืองใหญ่ๆ ของประเทศไทย
- ยัสปาลสามารถจำหน่ายสินค้า DIESEL ผ่านช่องทางออนไลน์ของยัสปาล
- ยัสปาลสามารถใช้ชื่อเสียงของ DIESEL ดึงดูดลูกค้าใหม่เข้ามาในร้านค้าของยัสปาล
ข้อจำกัด:
- DIESEL เป็นแบรนด์ที่มีราคาค่อนข้างสูง อาจจะเข้าถึงลูกค้าบางกลุ่มได้ยาก
- ยัสปาลต้องลงทุนเพิ่มเติมในการเปิดร้าน DIESEL แฟล็กชิปสโตร์ และการทำการตลาด
- ยัสปาลต้องเผชิญกับการแข่งขันจากตัวแทนจำหน่าย DIESEL รายอื่น
สรุป:
การขยายธุรกิจของยัสปาล โดยการเป็นตัวแทนจำหน่ายแบรนด์ DIESEL มีแนวโน้มที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกของยัสปาล อย่างไรก็ตาม ยัสปาลต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนเพื่อรับมือกับข้อจำกัดต่างๆ | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56783 | Retail | อะไรคือกลยุทธ์การขายที่ Cath Kidston ประเทศไทยใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ดึงดูดลูกค้า และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยไม่ต้องพึ่งพาโปรโมชันหรือการลดราคา | null | 1. เน้นจุดเด่นของสินค้า
-ลายพิมพ์ Cath Kidston ประเทศไทย นำเสนอลายพิมพ์ที่มีความหมายและเรื่องราวแตกต่างกันไปในแต่ละคอลเลกชัน ดึงดูดลูกค้าที่ชื่นชอบความเป็นเอกลักษณ์และดีไซน์เฉพาะตัว
-สินค้าคุณภาพ สินค้า Cath Kidston ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพดี ทนทาน คุ้มค่า ใช้งานได้จริง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้า
-ราคาที่เหมาะสม Cath Kidston ประเทศไทย ตั้งราคาสินค้าที่เหมาะสมกับคุณภาพและกลุ่มเป้าหมาย
2. สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้ง
-บรรยากาศร้าน ร้าน Cath Kidston ทุกสาขา ตกแต่งอย่างสวยงาม อบอุ่น ดึงดูดลูกค้าให้อยากเข้ามาใช้เวลาร้าน
-การบริการ พนักงานได้รับการอบรมให้บริการลูกค้าอย่างดี ให้คำแนะนำ ตอบคำถาม สร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า
-กิจกรรม จัดกิจกรรมพิเศษ เวิร์คช็อป โปรโมชั่น ดึงดูดลูกค้าใหม่ รักษาฐานลูกค้าเก่า
3. สื่อสารสร้างการรับรู้
-ช่องทางออนไลน์ เน้นการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย อินฟลูเอนเซอร์ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขวาง
-การเล่าเรื่อง เน้นการเล่าเรื่องราวของแบรนด์ คอลเลกชัน สินค้า สร้างความผูกพันกับลูกค้า
-การสร้างชุมชน สร้างกลุ่มลูกค้า แฟนพันธุ์แท้ แลกเปลี่ยน พูดคุย สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
4. ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับตลาด
-เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย Cath Kidston ประเทศไทย เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย พฤติกรรม ความต้องการ นำมาปรับกลยุทธ์ให้ตรงใจลูกค้า
-วิเคราะห์ตลาด ติดตามเทรนด์ วิเคราะห์ตลาด ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์
-ความยืดหยุ่น ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น ช่วงโควิด-19 เน้นการขายออนไลน์ จัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย
ผลลัพธ์
กลยุทธ์การขายที่เน้นสร้าง "เรื่องราวของแบรนด์" ดึงดูดลูกค้า สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ทำให้ Cath Kidston ประเทศไทยประสบความสำเร็จ มีสาขามากกว่าประเทศต้นกำเนิด โดยไม่ต้องพึ่งพาโปรโมชันหรือการลดราคา | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56785 | Retail | อะไรคือกลยุทธ์หลักของสยามแม็คโครสำหรับปี 2566? | null | สยามแม็คโครมีกลยุทธ์หลักสำหรับปี 2566 ดังนี้
1. ขยายสาขา: แม็คโครวางแผนเปิดสาขาใหม่ในประเทศไทย 12 สาขา และต่างประเทศ 4-6 สาขา โลตัสจะเปิดสาขาขนาดใหญ่แบบไฮเปอร์มาร์เก็ต 3-4 สาขา ซูเปอร์มาร์เก็ตในไทยและมาเลเซียรวม 10-14 สาขา และโลตัส โกเฟรช 100-150 สาขา
2. พัฒนา SMART Community Center: แม็คโครจะปรับและเพิ่มพื้นที่ศูนย์การค้าหรือชอปปิงมอลล์ในโลตัสสาขาอื่น ๆ ให้เป็น SMART Community Center เพื่อเป็นศูนย์รวมการใช้ชีวิตในทุก ๆ วันของชุมชนรอบข้าง โดยมีร้านค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ สร้างประสบการณ์ใหม่ในการชอบปิง มุ่งเน้นเป็น “Inspiring Fresh & Food Destination” เป็นคอมมูนิตี้ที่เป็นแหล่งรวมร้านค้า ร้านอาหารและพื้นที่กิจกรรม
3. พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์: แม็คโครได้วางกลยุทธ์ O2O (Online to Offline) เพื่อผสานช่องทางขายออนไลน์และออฟไลน์แบบไร้รอยต่อตอบสนองเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายในการเลือกซื้อสินค้า พร้อมนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อออกแบบแคมเปญให้ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อเพิ่มโอกาสขายสินค้าแก่เอสเอ็มอี โดยแม็คโครได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน Makro PRO ที่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม “สั่ง-ขาย-คุ้ม อย่างโปรในแอปเดียว”
4. ลงทุนในเทคโนโลยี: แม็คโครจะลงทุนปรับพื้นที่ในสาขาที่มีศักยภาพกว่า 100 สาขา เพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้าขนาดย่อย รองรับการแพ็กสินค้าและจัดส่งแก่ลูกค้าในพื้นที่ใกล้เคียงได้อย่างรวดเร็ว
5. มุ่งเน้นการเติบโต: แม็คโครตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2566 เติบโตสูงกว่าอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อขั้นพื้นฐาน (Core Inflation)
กลยุทธ์เหล่านี้มุ่งเน้นไปที่:
- การขยายฐานลูกค้า
- การเพิ่มยอดขาย
- การปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
- การสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ดีขึ้น
- การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56786 | Retail | แคมเปญ Central Retail 9.9 Double Mega Sale ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก | null | ใช่
เหตุผล คือ:
1. แคมเปญ Central Retail 9.9 Double Mega Sale ดึงดูดลูกค้า ให้เข้ามาจับจ่ายใช้สอย
2. แคมเปญนี้ช่วยกระตุ้นยอดขาย ของธุรกิจค้าปลีก
แคมเปญนี้ช่วยสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้ง ที่ดีให้กับลูกค้า
3. แคมเปญนี้ช่วยสร้างการรับรู้ เกี่ยวกับแบรนด์สินค้า
แคมเปญนี้ช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ของธุรกิจค้าปลีก
หลักฐานเพิ่มเติม:
1. ยอดขายของเซ็นทรัล รีเทล เพิ่มขึ้น 70% เมื่อเทียบกับปีก่อน
2. ยอดขายออนไลน์ของเซ็นทรัล รีเทล เพิ่มขึ้น 5 เท่า เมื่อเทียบกับยอดขายเฉลี่ยของวันปกติ
3. ลูกค้าส่วนใหญ่ พึงพอใจกับแคมเปญนี้
4. แคมเปญนี้ ได้รับการพูดถึงอย่างแพร่หลายในสื่อต่างๆ
ข้อสรุป:
จากหลักฐานทั้งหมดข้างต้น ยืนยันได้ว่า แคมเปญ Central Retail 9.9 Double Mega Sale ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก
ผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก:
1. ดึงดูดลูกค้า
2. กระตุ้นยอดขาย
3. สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดี
4. สร้างการรับรู้
5. เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด
ตัวอย่าง:
- ลูกค้าจำนวนมาก เข้ามาช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และโรบินสัน
- ยอดขายสินค้า ในหมวดหมู่ อิเล็กทรอนิกส์ แก็ดเจ็ต และบิวตี้ เพิ่มสูงขึ้น
- ลูกค้า พึงพอใจกับบริการ Click & Collect
- แคมเปญนี้ ได้รับการพูดถึงในสื่อต่างๆ เช่น Facebook, Twitter, Instagram
- แคมเปญ Central Retail 9.9 Double Mega Sale เป็นตัวอย่างที่ดี ของแคมเปญที่ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56792 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง.... Retail ไม่ได้เป็นเพียงธุรกิจ แต่เป็นพื้นที่สร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับผู้คน ของขวัญที่ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพง แต่เป็นของขวัญที่มอบจากใจ | null | ของขวัญสุดพิเศษ
ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ บรรยากาศคึกคักไปด้วยผู้คนต่างวัยต่างอาชีพ ต่างแต่งตัวสวยงามเพื่อร่วมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี ไฟประดับประดาสีสันสดใส บทเพลงคริสต์มาสบรรเลงสร้างความสุข เสียงเด็กๆ ตะโกนเรียกชื่อตัวละคร LINE FRIENDS ดังก้องไปทั่ว
มินอา เด็กหญิงวัย 10 ขวบ เดินจับมือคุณแม่ มุ่งหน้าไปยัง LINE FRIENDS World พื้นที่แห่งความสุขที่เธอเฝ้ารอมาตลอดปี บนใบหน้าเปื้อนยิ้มกว้าง เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“แม่คะ หนูอยากถ่ายรูปกับบราวน์!” มินอาอ้อนคุณแม่
“ได้สิลูก เดี๋ยวแม่ไปหาที่ถ่ายรูปให้” คุณแม่อยิ้มตอบ
มินอาวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ถ่ายรูปกับ LINE FRIENDS ตัวใหญ่ๆ เล่นเกมต่างๆ ร่วมสนุกกับกิจกรรมมากมาย รอยยิ้มไม่เคยจางหายจากใบหน้า
คุณพิม พนักงานขายในร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนม มองดูมินอาด้วยความเอ็นดู เด็กน้อยช่างร่าเริง สดใส เต็มไปด้วยพลังชีวิต เธอหวนนึกถึงวัยเด็กของตัวเอง
“เมื่อก่อนตอนเด็กๆ หนูก็ชอบ LINE FRIENDS มาก ชอบเก็บสะสมตุ๊กตา ของใช้ต่างๆ” คุณพิมคิด
เธอตัดสินใจเดินไปหามินอา ยื่นตุ๊กตาบราวน์ตัวเล็กให้
“นี่ ของขวัญจากพี่นะ” คุณพิมยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ!” มินอาอ้าปากค้างด้วยความดีใจ
“หนูชอบ LINE FRIENDS มากเลยค่ะ หนูเก็บสะสมของพวกนี้ด้วย” มินอาพูด
“งั้นเหรอ ดีใจนะที่หนูชอบ พี่หวังว่าหนูจะมีความสุขกับของขวัญชิ้นนี้” คุณพимยิ้ม
มินอาโอบกอดตุ๊กตาบราวน์แน่น รู้สึกอบอุ่นใจ ของขวัญชิ้นนี้ไม่ใช่แค่ตุ๊กตาธรรมดา แต่มันคือสัญลักษณ์ของความสุข มิตรภาพ และความเอื้ออาทร
ในคืนวันคริสต์มาส มินอา นอนหลับฝันดี ฝันว่าได้เล่นกับ LINE FRIENDS มากมาย รู้สึกมีความสุขมาก
เช้าวันรุ่งขึ้น มินอา ตื่นนอนด้วยความสดชื่น รีบวิ่งไปหาคุณแม่
“แม่คะ หนูฝันดีมากเลยค่ะ” มินอาพูด
“ฝันอะไรเหรอลูก” คุณแม่ถาม
“หนูฝันว่าได้เล่นกับบราวน์ โคนี่ และแซลลี่ รู้สึกมีความสุขมากเลยค่ะ” มินอาตอบ
“ดีใจนะลูกที่หนูมีความสุข ของขวัญจากพี่พิม คงจะทำให้หนูฝันดีใช่มั้ยล่ะ” คุณแม่ยิ้ม
“ค่ะ ของขวัญจากพี่พิม เป็นของขวัญที่พิเศษที่สุดสำหรับหนูเลยค่ะ” มินอาตอบ
เรื่องราวของมินอา สะท้อนให้เห็นถึงพลังของ Retail ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การซื้อขายสินค้า แต่เป็นการมอบประสบการณ์ ความสุข และรอยยิ้มให้กับผู้คน ของขวัญตุ๊กตาบราวน์ ไม่ได้มีราคาแพง แต่กลับสร้างความประทับใจให้กับมินอา เด็กหญิงผู้เปี่ยมไปด้วยจินตนาการ ของขวัญชิ้นนี้ เป็นสัญลักษณ์ของความเอื้ออาทร มิตรภาพ และความสุขที่แท้จริง | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56802 | Retail | อนาคต OR จะพลิกโฉมธุรกิจน้ำมันอย่างไร ในอีก 5 ปีข้างหน้า | เปิดอนาคต OR จะพลิกโฉมธุรกิจน้ำมันอย่างไร ในอีก 5 ปีข้างหน้า
ภาพของสถานีบริการน้ำมันกำลังจะเปลี่ยนไป
เมื่อ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR คิดการณ์ใหญ่
เดินเกมรุกเต็มสูบ เพื่อสยายปีกธุรกิจไปยังพรมแดนใหม่ ๆ ที่ไปไกลกว่าธุรกิจน้ำมัน.. ในอนาคตอันใกล้ เราคงได้เห็น สถานีบริการน้ำมัน PTT Station แปลงร่างจากจุดจ่ายน้ำมัน จุดพักรถ ที่แวะเข้าห้องน้ำ
เป็นแพลตฟอร์มที่ผสมผสานธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก เข้าไว้ด้วยกัน
เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คน ที่ยังต้องเดินทางอย่างไร้ขีดจำกัด จะเห็นว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ OR เพิ่งประกาศซื้อหุ้น "โอ้กะจู๋" ร้านอาหารเพื่อสุขภาพชื่อดังจากเชียงใหม่
ในสัดส่วน 20% พร้อมวางแผนขยายสาขาร้านโอ้กะจู๋ ในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station
รวมถึงจำหน่ายอาหารแบบ Grab & Go ผ่าน Café Amazon ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และภาคเหนือ นอกจากนี้ยังจับมือกับ LINE MAN Wongnai ลุยโมลเดล Cloud Kitchen ในสถานีบริการน้ำมัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในไทย จากความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่ออกมา ทำให้ OR ซึ่งได้ชื่อว่าบริษัทที่เนื้อหอมอยู่แล้ว หลังจาก IPO ยิ่งน่าสนใจขึ้นไปอีกว่า หลังจากระดมเงินทุนไปได้ 74,000 ล้านบาท จะนำไปจัดสรรปันส่วน เพื่อต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนอย่างไร
OR มองเห็นโอกาสอะไร ถึงเข้ามาลุยในธุรกิจรีเทล ที่หลายคนมองว่าเป็นขาลง แล้วเม็ดเงินที่ได้จากธุรกิจธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่น ๆ (Non-Oil) จะมาทดแทนรายได้จากน้ำมันได้จริงหรือ ?
ที่สำคัญ เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า จะเป็นความท้าทายสำหรับ OR หรือไม่ ผู้ที่จะไขทุกข้อสงสัยนี้ได้ดีที่สุด คือ คุณจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ OR คุณจิราพร อธิบายให้เห็นภาพว่า ด้วยคอนเซปต์ของ OR ที่มองว่า ตัวเองเป็นมากกว่าสถานีบริการน้ำมัน
แต่พร้อมเติมเต็มความสุขให้กับประชาชน
ดังนั้นแผน 5 ปี จากนี้ (พ.ศ. 2564 - 2568) ในส่วนของธุรกิจน้ำมัน OR ยังมีแผนขยายสาขาต่อเนื่อง จากปัจจุบันมีสถานีบริการน้ำมันอยู่ 1,968 สาขา ภายในปี 2568 จะขยายเพิ่มจนครบ 2,500 สาขา เหตุผลที่ยังเดินหน้าขยายต่อ เพราะเรามองว่า สถานีบริการน้ำมันจะเป็นแพลตฟอร์มให้ธุรกิจ Non-Oil
ในกลุ่มขนส่งและกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม อย่าง น้ำมันหล่อลื่ม PTT Lubricants
จากนี้จะไม่เน้นการขายผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่ชูความเป็น Energy Solution Provider ส่วนธุรกิจ Non-Oil อย่าง Café Amazon ซึ่งคนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เปิดตัวมาตั้งแต่ พ.ศ. 2545 ภายใต้คอนเซปต์ Green Oasis
โดยเหตุผลที่ทำให้บริษัทน้ำมันลุกขึ้นมาเปิดร้านคาเฟ่ มาจากการตั้งคำถามว่า ผู้บริโภคว่าต้องการอะไร เวลามาใช้บริการที่สถานีน้ำมัน
คำตอบ คือ ความสดชื่น ความปลอดภัย และสถานที่ที่มีบรรยากาศผ่อนคลาย
จึงกลายเป็นที่มาของ Café Amazon
ซึ่งถือเป็นผู้ให้สถานีบริการน้ำมันรายแรก ที่ลุกขึ้นมาลุยธุรกิจ Non-Oil ก็ว่าได้ ที่น่าภาคภูมิใจ คือ ปัจจุบัน Café Amazon มีจำนวนสาขามากถึง 3,100 แห่ง
ซึ่งถือว่ามากที่สุดในประเทศไทย และยังได้ชื่อว่าเป็นร้านกาแฟที่มีสาขามากเป็นอันดับ 6 ของโลก
โดยในอีก 5 ปีข้างหน้า OR มีแผนจะขยายให้ครบ 5,000 สาขา ขณะที่เชนไก่ทอดอย่าง Texas Chicken ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 70 สาขา จากนี้ ตั้งเป้าจะขยายปีละ 20 สาขา ในส่วนของการขยายโอกาสธุรกิจในต่างประเทศ เพื่อก้าวสู่การเป็น Global Brand
ที่ผ่านมา OR ได้ขยายธุรกิจไปแล้วถึง 10 ประเทศ ได้แก่ ฟิลิปปินส์, กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, เวียดนาม, จีน, สิงคโปร์, โอมาน, ญี่ปุ่น และมาเลเซีย
มีทั้งรูปแบบที่ OR ดำเนินการเอง และให้บริษัทย่อยที่ตั้งอยู่ในประเทศนั้น ๆ เป็นผู้ดำเนินการ อย่างเมื่อปีที่แล้ว OR ไปร่วมทุนกับ CRG ของกลุ่มเซ็นทรัล เปิด Café Amazon ที่เวียดนาม 5 สาขา
ซึ่งผลตอบรับค่อนข้างดี สามารถทำยอดขายเฉลี่ย 300 แก้วต่อวัน ซึ่งเกินเป้าที่วางไว้ อยู่ที่ 200 แก้วต่อวัน ส่วนที่เมียนมา OR ไปลงทุนกับพาร์ตเนอร์ ดำเนินธุรกิจทั้งในส่วนน้ำมันและ Non-Oil เช่นเดียวกับตลาดที่จีน OR ไปตั้งบริษัทย่อยที่เมืองหนานนิง
ซึ่งมีประชากรเกือบ 100 ล้านคน มีรสนิยมและวัฒนธรรมใกล้เคียงกับไทย
เพื่อทำเรื่อง PTT Lubricants และ Cafe Amazon
ซึ่งนอกจากจะนำเมนูมาตรฐานของไทยไปตีตลาด ยังพัฒนาเมนูใหม่ ๆ อย่าง กาแฟรสทุเรียนและมะพร้าว เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าชาวจีน สำหรับความท้าทายของธุรกิจ กับเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า
คุณจิราพรตอบชัดว่า ไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน มองว่าเป็นโอกาสด้วยซำ้ ตั้งแต่ปี 2559 เราได้เปิดบริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า PTT EV Station
ซึ่งคุณจิราพรบอกว่า ต้นทุนในการลงทุนไม่สูง ประมาณเกือบ 2 ล้านบาทต่อสาขา
เพราะ PTT Station มีระบบ Infrastructure และระบบไฟฟ้าพร้อมอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นรถ EV ประเภทไหน เข้าชาร์จที่เราได้หมด ใช้เวลาไม่นาน ถ้าเป็นแบบ Direct Charge ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
ซึ่งระหว่างที่รอ ก็ยังสามารถไปใช้บริการร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือ ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ในสถานีบริการน้ำมันได้เช่นกัน ถือเป็นการเพิ่มรายได้ให้กลุ่มธุรกิจ Non-Oil ยิ่งกว่านั้น เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้ายังช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการในสถานีน้ำมัน ถี่ขึ้นกว่าตอนที่เป็นแค่สถานีจ่ายน้ำมัน เพราะปกติ ลูกค้าจะมาใช้บริการที่สถานีน้ำมัน ก็ต่อเมื่อน้ำมันใกล้หมด แต่เมื่อคนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น พฤติกรรมก็จะใกล้เคียงกับคนใช้สมาร์ตโฟน คือ ไม่จำเป็นต้องรอให้แบตเตอรี่ใกล้หมดถึงจะชาร์จ แต่ชาร์จเมื่อมีเวลาว่าง ซึ่งเป็นการเพิ่มความถี่ในการเข้ามาใช้บริการ ที่สถานีบริการน้ำมันมากขึ้น และเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ OR ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน ที่ช่วยคำนวณว่า อีกกี่กิโลเมตร จึงจะถึงสถานี บริการน้ำมันที่มีสถานีชาร์จ EV แล้วจะได้รับบริการเป็นคิวที่เท่าไร ทั้งนี้ OR ตั้งเป้าว่า จากเดิมที่มีสถานีน้ำมันที่สามารถชาร์จไฟอยู่ 25 สาขา
ภายในปี 64 จะลงทุนเพิ่มให้เป็น 100 สาขา และขยายจนครบ 300 สาขาภายในปี 2565 จากที่เล่ามาทั้งหมด เพื่อให้เห็นภาพชัดยิ่งขึ้น
คุณจิราพรสรุปให้เห็นภาพว่า หาก OR มีเงินลงทุน 100 บาท
34 บาท จะลงทุนในธุรกิจน้ำมันทั้งค้าปลีกและพาณิชย์
29 บาท จะลงทุนในธุรกิจ Non-Oil
22 บาท จะลงทุนในต่างประเทศ
15 บาท จะเก็บไว้ลงทุนในธุรกิจที่มองว่าจะเป็น New S-Curve Close Ad Close Ad ซึ่งคุณจิราพร ย้ำชัดว่า เปิดกว้าง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ หรือ การเคลื่อนไหว
ขอเพียงตอบโจทย์ผู้บริโภค ต่อยอดจุดแข็งที่ OR มี ก็พร้อมใช้เงินทุนก้อนนี้
เพราะ ตราบใดที่คนยังเคลื่อนไหว ยังต้องกิน ต้องดื่ม PTT Station ก็ยังเป็นจุดแข็งที่ต่อยอดได้อีกเยอะ จะเห็นว่า ที่ผ่านมา OR มีการต่อยอดธุรกิจใหม่ ในรูปแบบการของร่วมทุนไปจนถึงการเข้าซื้อกิจการ
ไม่ว่าจะเป็น การเข้าซื้อหุ้น Flash Express ในสัดส่วน 10%
การเข้าซื้อหุ้น บริษัท พีเบอร์รี่ จำกัด ในสัดส่วน 65% ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์กาแฟ สเปเชียลตี้ อย่าง Pacamara
จะเห็นว่า เราพร้อมที่จะกระจายความเสี่ยงมากขึ้น เพราะอย่างที่บอกว่า วันนี้ OR มองภาพตัวเองไปไกลกว่าการเป็นผู้ให้เช่าพื้นที่ แต่มองไปถึงการเป็นพาร์ตเนอร์ เปิดแผนธุรกิจอย่างเห็นภาพแล้ว มาถึงกลยุทธ์ในการหารายได้
หลายคนมองว่า ถ้าเปรียบเทียบกับรายได้ Non-Oil กับรายได้จากน้ำมัน อาจจะมีช่องว่างอยู่พอสมควร
ซึ่งคุณจิราพร บอกว่า เป้าหมายที่ OR มองจากนี้ คือ EBITDA
หรือ กำไร ก่อนหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย, ภาษี, ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ย้อนไปในปี 2562
OR มี EBITDA มาจากธุรกิจ Non-Oil ประมาณ 25%
ดังนั้นในแผน 5 ปีจากนี้ OR ตั้งเป้าขยับ EBITDA เป็น 33% ในส่วนของธุรกิจต่างประเทศ จากเดิมอยู่ที่ 6% ตั้งเป้าขยับเป็น 13% นั่นหมายความว่า ในภาพรวมทั้งพอร์ต EBITDA จะโตขึ้น
แต่สัดส่วนหลัก มาจากธุรกิจในกลุ่ม Non-Oil และต่างประเทศ ส่วนของธุรกิจน้ำมัน อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า จะยังลงทุนขยายสาขาต่อเนื่อง รวมทั้งลงทุนเรื่องเทคโนโลยี
เพราะมองว่า สถานีบริการน้ำมัน เป็นแพลตฟอร์มที่เป็นแต้มต่อสำคัญของธุรกิจ Non-Oil อย่างไรก็ตาม แม้ OR จะมั่นใจกับการเข้ามาหารายได้จากธุรกิจค้าปลีก
แต่หลายคนอาจมองว่า ธุรกิจค้าปลีกวันนี้ ก็กำลังเผชิญความท้าทายรอบด้านเช่นกัน เรื่องนี้ คุณจิราพร มองชวนให้คิดตามว่า ถ้าเทียบระหว่างความสะดวกในการเข้า PTT Station กับ ห้างสรรพสินค้า เพื่อหาร้านอาหาร หรือ จิบกาแฟสักแก้ว คิดว่าที่ไหนสะดวกกว่ากัน ซึ่งคุณจิราพร เชื่อว่า หลายคนเทใจให้ PTT Station เพราะด้วยจำนวนสาขาของสถานีบริการน้ำมัน
ที่มีอยู่เกือบ 2,000 สาขา กระจายอยู่ทั่วประเทศ ในหลากหลายโลเคชัน
บวกกับ ความสะดวกในการเข้า-ออก ที่สูงกว่าห้างสรรพสินค้า ซึ่งบางครั้งต้องวนหาที่จอด นอกจากนี้ OR ยังมีฐานสมาชิกบัตร Blue Card ถึง 6,700,000 ราย
ทำให้สามารถนำข้อมูลต่าง ๆ มาทำการตลาดแบบรู้ใจ (Personalized Marketing)
และในอนาคตยังจะต่อยอดไปสู่ E-Wallet เพื่อตอบโจทย์สังคมไร้เงินสด แน่นอนว่า การจะ Transform ธุรกิจไปตามแผนว่ายากแล้ว
อีกหนึ่งความท้าทายที่ OR ต้องเจอคือ การ Transform องค์กรให้พร้อมก้าวไปข้างหน้าให้ทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งคุณจิราพร มองว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคจากนี้ อยู่ภายใต้ 3 โจทย์ใหญ่ คือ ความรวดเร็ว, ความสะดวก และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้น นอกจาก OR ต้องพัฒนาธุรกิจ ปรับกระบวนการ โดยเอาผู้บริโภคเป็นตัวตั้ง
ยังต้องอาศัยหลักการบริหารทีมที่เรียกว่า Speed for Excution หรือ ความเร็วในการทำให้แผนงานสำเร็จ ซึ่งถามว่า พอ Spin-Off แยกบริษัทออกมาเป็น OR แล้ว
ความรวดเร็วและความคล่องตัว มีมากกว่าตอนที่ยังอยู่ในโครงการของ ปตท. คำตอบ คือ ใช่ แต่ในมุมมองของคุณจิราพร มองว่ายังไม่พอ ต้องเร็วกว่านี้
เพราะ ความต้องการของผู้บริโภคและโอกาสไม่เคยรอใคร
ธุรกิจเมื่อมีโอกาสต้องรีบทำให้สำเร็จ นี่ยังไม่ต้องพูดเรื่องการแข่งขัน แต่เรากำลังแข่งกับตัวเอง
เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภค และโอกาสทางธุรกิจที่เข้ามา ทั้งหมดนี้ คือ สิ่งที่สะท้อนถึงอนาคตของ OR (Oil and Retail) ซึ่งซีอีโอหญิงแกร่งแย้มว่า กำลังจะกลายเป็น RO (Retail and OIl)
เพราะ OR ในอนาคต จะนำด้วยธุรกิจค้าปลีก ที่มีรากฐานมาจากธุรกิจน้ำมัน.. ใครจะรู้ว่า ในอนาคต ต่อให้ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำมัน เราก็อาจจะเลี้ยวรถเข้าไปใช้บริการที่ PTT Station บ่อยกว่าไปห้าง
เพราะสถานีน้ำมันในอนาคต ไม่ต่างจากคอมมูนิตี้ ที่เราสามารถไปแวะดื่มกาแฟ กินอาหาร ส่งพัสดุ เข้าร้านสะดวกซื้อ หรือแม้จะเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าแล้ว ก็ยังเข้ามาใช้บริการชาร์จไฟได้เช่นกัน ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างธุรกิจที่ดิสรัปตัวเองได้อย่างน่าสนใจ | ภาพของสถานีบริการน้ำมันกำลังจะเปลี่ยนไป
เมื่อ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR คิดการณ์ใหญ่
เดินเกมรุกเต็มสูบ เพื่อสยายปีกธุรกิจไปยังพรมแดนใหม่ ๆ ที่ไปไกลกว่าธุรกิจน้ำมัน.. ในอนาคตอันใกล้ เราคงได้เห็น สถานีบริการน้ำมัน PTT Station แปลงร่างจากจุดจ่ายน้ำมัน จุดพักรถ ที่แวะเข้าห้องน้ำ
เป็นแพลตฟอร์มที่ผสมผสานธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก เข้าไว้ด้วยกัน
เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คน ที่ยังต้องเดินทางอย่างไร้ขีดจำกัด จะเห็นว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ OR เพิ่งประกาศซื้อหุ้น "โอ้กะจู๋" ร้านอาหารเพื่อสุขภาพชื่อดังจากเชียงใหม่
ในสัดส่วน 20% พร้อมวางแผนขยายสาขาร้านโอ้กะจู๋ ในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station
รวมถึงจำหน่ายอาหารแบบ Grab & Go ผ่าน Café Amazon ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และภาคเหนือ นอกจากนี้ยังจับมือกับ LINE MAN Wongnai ลุยโมลเดล Cloud Kitchen ในสถานีบริการน้ำมัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในไทย จากความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่ออกมา ทำให้ OR ซึ่งได้ชื่อว่าบริษัทที่เนื้อหอมอยู่แล้ว หลังจาก IPO ยิ่งน่าสนใจขึ้นไปอีกว่า หลังจากระดมเงินทุนไปได้ 74,000 ล้านบาท จะนำไปจัดสรรปันส่วน เพื่อต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนอย่างไร
OR มองเห็นโอกาสอะไร ถึงเข้ามาลุยในธุรกิจรีเทล ที่หลายคนมองว่าเป็นขาลง แล้วเม็ดเงินที่ได้จากธุรกิจธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่น ๆ (Non-Oil) จะมาทดแทนรายได้จากน้ำมันได้จริงหรือ ?
ที่สำคัญ เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า จะเป็นความท้าทายสำหรับ OR หรือไม่ ผู้ที่จะไขทุกข้อสงสัยนี้ได้ดีที่สุด คือ คุณจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ OR คุณจิราพร อธิบายให้เห็นภาพว่า ด้วยคอนเซปต์ของ OR ที่มองว่า ตัวเองเป็นมากกว่าสถานีบริการน้ำมัน
แต่พร้อมเติมเต็มความสุขให้กับประชาชน
ดังนั้นแผน 5 ปี จากนี้ (พ.ศ. 2564 - 2568) ในส่วนของธุรกิจน้ำมัน OR ยังมีแผนขยายสาขาต่อเนื่อง จากปัจจุบันมีสถานีบริการน้ำมันอยู่ 1,968 สาขา ภายในปี 2568 จะขยายเพิ่มจนครบ 2,500 สาขา เหตุผลที่ยังเดินหน้าขยายต่อ เพราะเรามองว่า สถานีบริการน้ำมันจะเป็นแพลตฟอร์มให้ธุรกิจ Non-Oil
ในกลุ่มขนส่งและกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม อย่าง น้ำมันหล่อลื่ม PTT Lubricants
จากนี้จะไม่เน้นการขายผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่ชูความเป็น Energy Solution Provider ส่วนธุรกิจ Non-Oil อย่าง Café Amazon ซึ่งคนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เปิดตัวมาตั้งแต่ พ.ศ. 2545 ภายใต้คอนเซปต์ Green Oasis
โดยเหตุผลที่ทำให้บริษัทน้ำมันลุกขึ้นมาเปิดร้านคาเฟ่ มาจากการตั้งคำถามว่า ผู้บริโภคว่าต้องการอะไร เวลามาใช้บริการที่สถานีน้ำมัน
คำตอบ คือ ความสดชื่น ความปลอดภัย และสถานที่ที่มีบรรยากาศผ่อนคลาย
จึงกลายเป็นที่มาของ Café Amazon
ซึ่งถือเป็นผู้ให้สถานีบริการน้ำมันรายแรก ที่ลุกขึ้นมาลุยธุรกิจ Non-Oil ก็ว่าได้ ที่น่าภาคภูมิใจ คือ ปัจจุบัน Café Amazon มีจำนวนสาขามากถึง 3,100 แห่ง
ซึ่งถือว่ามากที่สุดในประเทศไทย และยังได้ชื่อว่าเป็นร้านกาแฟที่มีสาขามากเป็นอันดับ 6 ของโลก
โดยในอีก 5 ปีข้างหน้า OR มีแผนจะขยายให้ครบ 5,000 สาขา ขณะที่เชนไก่ทอดอย่าง Texas Chicken ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 70 สาขา จากนี้ ตั้งเป้าจะขยายปีละ 20 สาขา ในส่วนของการขยายโอกาสธุรกิจในต่างประเทศ เพื่อก้าวสู่การเป็น Global Brand
ที่ผ่านมา OR ได้ขยายธุรกิจไปแล้วถึง 10 ประเทศ ได้แก่ ฟิลิปปินส์, กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, เวียดนาม, จีน, สิงคโปร์, โอมาน, ญี่ปุ่น และมาเลเซีย
มีทั้งรูปแบบที่ OR ดำเนินการเอง และให้บริษัทย่อยที่ตั้งอยู่ในประเทศนั้น ๆ เป็นผู้ดำเนินการ อย่าง
เมื่อปีที่แล้ว OR ไปร่วมทุนกับ CRG ของกลุ่มเซ็นทรัล เปิด Café Amazon ที่เวียดนาม 5 สาขา
ซึ่งผลตอบรับค่อนข้างดี สามารถทำยอดขายเฉลี่ย 300 แก้วต่อวัน ซึ่งเกินเป้าที่วางไว้ อยู่ที่ 200 แก้วต่อวัน ส่วนที่เมียนมา OR ไปลงทุนกับพาร์ตเนอร์ ดำเนินธุรกิจทั้งในส่วนน้ำมันและ Non-Oil เช่นเดียวกับตลาดที่จีน OR ไปตั้งบริษัทย่อยที่เมืองหนานนิง
ซึ่งมีประชากรเกือบ 100 ล้านคน มีรสนิยมและวัฒนธรรมใกล้เคียงกับไทย
เพื่อทำเรื่อง PTT Lubricants และ Cafe Amazon
ซึ่งนอกจากจะนำเมนูมาตรฐานของไทยไปตีตลาด ยังพัฒนาเมนูใหม่ ๆ อย่าง กาแฟรสทุเรียนและมะพร้าว เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าชาวจีน สำหรับความท้าทายของธุรกิจ กับเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า
คุณจิราพรตอบชัดว่า ไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน มองว่าเป็นโอกาสด้วยซำ้ ตั้งแต่ปี 2559 เราได้เปิดบริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า PTT EV Station
ซึ่งคุณจิราพรบอกว่า ต้นทุนในการลงทุนไม่สูง ประมาณเกือบ 2 ล้านบาทต่อสาขา
เพราะ PTT Station มีระบบ Infrastructure และระบบไฟฟ้าพร้อมอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นรถ EV ประเภทไหน เข้าชาร์จที่เราได้หมด ใช้เวลาไม่นาน ถ้าเป็นแบบ Direct Charge ใช้เวลาประมาณ 20 นาที | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56803 | Retail | กลยุทธ์หลักของ AIS ในการขับเคลื่อนธุรกิจ Retail ในอนาคตคืออะไร? | null | AIS ไม่ได้มีธุรกิจ Retail โดยตรง แต่มีกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับ Retail ดังนี้
1. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
-ขยายโครงข่าย 5G ครอบคลุม 85% ของพื้นที่ประชากรทั่วประเทศ
-พัฒนาเทคโนโลยี 25G PON
-พัฒนา Intelligent Network, Cloud Platforms และ Cyber Security
2. พัฒนาบริการดิจิทัล
-นำเสนอ Disney+ Hotstar
-นำเสนอบริการคอนเทนต์กีฬา เช่น ฟุตบอลไทยลีก, ฟุตซอลไทยแลนด์ลีก, Golf LPGA, ลีกบาสเกตบอล 3x3BL, รายการ ONE Championship
-พัฒนาบริการประกันดิจิทัล
-พัฒนาบริการช่องทางชำระเงินออนไลน์ผ่าน mPAY PGW – Payment Link solution
3. ร่วมมือกับพันธมิตร
-ร่วมมือกับ NOKIA ทดลองเทคโนโลยี 25G PON
-ร่วมมือกับองค์กรภาคธุรกิจเพื่อพัฒนาโซลูชัน Smart Retail
4. มุ่งเน้นการวิเคราะห์ข้อมูล
-ใช้ AI และ Data Analytic เพื่อพัฒนาโครงข่ายและบริการ
-นำเสนอโซลูชันที่ตรงใจลูกค้า
5. สนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล
-ลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
-สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ Retail ผ่านเทคโนโลยี
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้กลยุทธ์
-AIS ร่วมมือกับ Central Retail พัฒนาโซลูชัน Omni-channel
-AIS พัฒนาบริการ AIS mPAY เพื่อการชำระเงินในร้านค้า
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
-เป็นผู้ให้บริการดิจิทัลชั้นนำ
-สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ Retail
-ยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัล
สรุป
กลยุทธ์หลักของ AIS มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล บริการดิจิทัล และความร่วมมือกับพันธมิตร กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ Retail ในอนาคต
คำอธิบายเพิ่มเติม
-เทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในธุรกิจ Retail มากขึ้นเรื่อย ๆ AIS ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัลชั้นนำ มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการดิจิทัลเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจ Retail
-AIS มีความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจอย่างกว้างขวาง ช่วยให้สามารถนำเสนอโซลูชันที่ครบวงจรสำหรับธุรกิจ Retail
-AIS มุ่งมั่นสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและบริการดิจิทัลจะช่วยยกระดับธุรกิจ Retail และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในอนาคต | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56808 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....แบรนด์ควรสนับสนุน LGBTQ+ อย่างจริงใจ เริ่มจากภายในองค์กร สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เท่าเทียม ให้พนักงาน LGBTQ+ รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร | null | ธงสีรุ้งสะท้อนใจ
สายลมเดือนมิถุนายนพัดโชย กลิ่นอายของ Pride Month โชยมาแตะจมูก ร้านค้าต่างๆ ตกแต่งหน้าร้านด้วยธงสีรุ้งหลากสีสัน สินค้า Limited Edition ลายธงสีรุ้งวางเรียงรายบนชั้นวาง สื่อต่างๆ เต็มไปด้วยภาพลักษณ์ของ LGBTQ+
"ปีนี้ Rainbow Washing เยอะมากเลยเนอะ" มินอา พนักงานขายสาวในร้านเสื้อผ้า พูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน
"ใช่ๆ เหมือนหลายๆ แบรนด์แค่เอาสีรุ้งมาใส่เพื่อเกาะกระแส ไม่ได้จริงใจสนับสนุน LGBTQ+ เลย" ต้น พนักงานขายหนุ่ม เสริม
"แล้วเธอคิดว่ายังไง?" มินอา ถาม
"จริงๆ แบรนด์ควรสนับสนุน LGBTQ+ อย่างจริงจัง เริ่มจากภายในองค์กรก่อน สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เท่าเทียม ให้พนักงาน LGBTQ+ รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ไม่ใช่แค่ทำแคมเปญการตลาดตื้นๆ แค่ช่วง Pride Month" ต้น ตอบ
"ใช่ๆ แบรนด์ควรตระหนักว่า LGBTQ+ ก็เป็นลูกค้า เป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อ ไม่ใช่แค่เครื่องมือทางการตลาด" มินอา เห็นด้วย
"อย่างบริษัทเรา ดีนะ ที่ให้สวัสดิการเท่าเทียมกับพนักงานทุกเพศ ไม่ว่าจะเป็น LGBTQ+ หรือไม่ก็ตาม" ต้น พูด
"ใช่ ดีใจที่บริษัทเราเปิดกว้างและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้" มินอา ยิ้ม
"แต่ยังมีอีกหลายบริษัทที่ยังไม่เปิดใจ ยังมีอคติกับ LGBTQ+ หวังว่าสักวันสังคมไทยจะเปิดกว้าง ยอมรับความหลากหลายมากขึ้น" ต้น ถอนหายใจ
"เราทุกคนก็ช่วยกันสร้างสังคมที่เท่าเทียม สนับสนุน LGBTQ+ เริ่มจากตัวเราเอง ร้านค้าก็ควรสนับสนุน LGBTQ+ จริงใจ ไม่ใช่แค่เกาะกระแส" มินอา พูด
"จริงของเธอ เราทุกคนมีพลังที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง" ต้น ยิ้ม | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56816 | Retail | อธิบายกลยุทธ์ที่ House Brand ของร้านค้าปลีกใช้ในการดึงดูดลูกค้า | เวลาที่เราไปเดินที่ Lotus’s, Big C, Tops รวมถึงตามซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ หรือร้านสะดวกซื้อ
นอกจากสินค้าแบรนด์ต่าง ๆ มากมายแล้ว
เราน่าจะเคยเห็นสินค้า ที่เป็นแบรนด์เดียวกันกับร้านค้าปลีกเหล่านั้นอยู่เป็นประจำ เช่น กระดาษทิชชู หรือข้าวสารตรา Big C, น้ำยาล้างจาน Lotus’s, น้ำดื่ม 7-Select และสินค้าอื่น ๆ ที่มีชื่อแบรนด์ เป็นชื่อเดียวกันกับร้านค้าปลีกที่เราชอบไปเดินช็อปปิง โดยสินค้าเหล่านี้ เรียกว่าสินค้า House Brand ที่ทางร้านค้าปลีกทำออกมาวางขายเอง ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ใช้แล้วหมดไป และอย่างที่เรารู้กันดีว่าสินค้าเหล่านี้ จะมีแบรนด์หลัก ๆ ที่ร้านค้าปลีกรับเข้ามาขายอยู่แล้ว อย่างน้ำดื่ม ก็จะมีหลายสิบแบรนด์ที่รับมาวางขาย
น้ำยาล้างจาน ก็มีหลากหลายแบรนด์ให้เลือก
ข้าวสาร ก็มีทั้งแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ไหนจะสินค้าอื่น ๆ อีก คำถามคือ แล้วทำไมร้านค้าปลีก ถึงยังต้องทำสินค้า House Brand ออกมาขายเองอีก ? 1. จับกลุ่มลูกค้า ที่ต้องการสินค้าราคาประหยัด ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสินค้า House Brand ที่เราพบเห็นกันทั่วไป ส่วนใหญ่จะมีราคาถูกกว่าสินค้าจากแบรนด์ที่ทางร้านค้าปลีกรับมาขาย หนึ่งในสาเหตุที่สามารถขายได้ในราคาถูกกว่า ก็คือ “ข้อได้เปรียบด้านต้นทุน” เพราะทางแบรนด์ร้านค้าปลีก ไม่จำเป็นต้องเสียค่าเช่าพื้นที่ให้กับตัวเอง แถมยังไม่ต้องขยันโปรโมต หรือเสียงบค่าการตลาดมากเท่ากับแบรนด์ทั่วไปในตลาดด้วย ทำให้ House Brand มักจะเป็นสินค้าที่มีราคาถูกกว่าสินค้าแบรนด์ทั่วไป และเน้นออกสินค้ามาเพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อสินค้าแบบเน้นปริมาณ (Volume) มากกว่าเน้นเรื่องคุณภาพ (Quality) หรือเน้นความคุ้มค่าด้านราคาเป็นหลัก เช่น หากเราเป็นแม่บ้านที่สนใจในเรื่องความสะอาด เราอาจจะต้องการซื้อน้ำยาล้างจานที่เชื่อถือได้ อย่างไลปอนเอฟ หรือซันไลต์ Close Ad Close Ad แต่พอเราพลิกบทบาทมาเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหาร เรากลับต้องมองถึงการควบคุมต้นทุนให้ต่ำที่สุด ซึ่งนั่นก็รวมถึงการซื้อน้ำยาล้างจานราคาถูกลงมา แต่พอใช้ได้แทน ซึ่งส่วนมาก ก็จะหนีไม่พ้นสินค้า House Brand ที่ชอบจัดโปรโมชันดึงดูดให้คนซื้อในปริมาณมาก ๆ เห็นได้ว่า นี่คือโอกาสทางธุรกิจ ที่ยังมีช่องว่างในตลาดให้ทำกำไรได้อยู่
แล้วเราในฐานะเจ้าของพื้นที่ แทบจะไม่มีเหตุผลอะไรเลย ที่จะไม่ทำ.. 2. เพิ่มข้อได้เปรียบในการแข่งขัน กับร้านค้าปลีกเจ้าอื่น หากขึ้นชื่อว่า เป็นสินค้าที่ทำโฆษณาผ่านโทรทัศน์ ป้ายบิลบอร์ด หรือโซเชียลมีเดีย
แน่นอนว่าเจ้าของแบรนด์ดังเหล่านั้น ย่อมต้องเอาสินค้าของตน ไปวางขายในร้านค้าปลีกหลายเจ้า ให้มากเท่าที่จะมากได้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าให้ได้มากที่สุด แต่นั่นกลับกลายเป็นข้อเสียเปรียบของเจ้าของร้านค้าปลีก
เพราะไม่ว่าจะเป็น Big C, Lotus’s, Tops หรือ 7-Eleven ต่างก็วางขายสินค้าชื่อดังยี่ห้อเดียวกันเต็มไปหมด แต่ถ้าหากว่า เราต้องการน้ำดื่ม 7-Select เพราะราคาถูกกว่า ในคุณภาพที่ใกล้เคียงกับน้ำดื่มทั่วไป | กลยุทธ์ที่ House Brand ของร้านค้าปลีกใช้ในการดึงดูดลูกค้า มีดังนี้:
1. กลยุทธ์ด้านราคา:
- ราคาที่ถูกกว่า: House Brand มักมีราคาที่ถูกกว่าสินค้าแบรนด์อื่นๆ ในหมวดหมู่เดียวกัน เนื่องจากไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณา การตลาด และค่าเช่าพื้นที่วางสินค้า
- โปรโมชั่นและส่วนลด: House Brand มักมีโปรโมชั่นและส่วนลดบ่อยครั้ง เพื่อดึงดูดลูกค้าให้ซื้อ
- สินค้าขนาดใหญ่: House Brand มักมีสินค้าในขนาดที่ใหญ่กว่าสินค้าแบรนด์อื่นๆ เพื่อให้คุ้มค่ากับราคา
2. กลยุทธ์ด้านคุณภาพ:
- คุณภาพที่ใกล้เคียงกับสินค้าแบรนด์อื่นๆ: House Brand หลายตัวมีคุณภาพที่ใกล้เคียงกับสินค้าแบรนด์อื่นๆ ในหมวดหมู่เดียวกัน
- การพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง: ร้านค้าปลีกหลายแห่ง พัฒนาสินค้า House Brand ของตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
- การรับรองคุณภาพ: House Brand หลายตัวได้รับการรับรองคุณภาพจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ
3. กลยุทธ์ด้านความสะดวก:
- หาซื้อได้ง่าย: House Brand สามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านค้าปลีกของเครือ
- มีสินค้าหลากหลาย: House Brand มีสินค้าหลากหลายประเภทให้เลือก
- บริการหลังการขาย: House Brand หลายตัวมีบริการหลังการขาย เช่น การรับประกันสินค้า
4. กลยุทธ์ด้านภาพลักษณ์:
- สร้างแบรนด์ให้จดจำ: ร้านค้าปลีกหลายแห่ง พยายามสร้างแบรนด์ให้ House Brand ของตนเองจดจำง่าย
- ใช้บรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดสายตา: House Brand หลายตัวใช้บรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดสายตา เพื่อดึงดูดลูกค้าให้ซื้อ
- สื่อสารภาพลักษณ์ของแบรนด์: ร้านค้าปลีกหลายแห่ง สื่อสารภาพลักษณ์ของแบรนด์ House Brand ของตนเองผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โฆษณา ประชาสัมพันธ์ และสื่อสังคมออนไลน์
สรุป:
กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ House Brand ของร้านค้าปลีก ดึงดูดลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ House Brand มุ่งมั่นพัฒนาสินค้า บริการ และกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับลูกค้า | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56822 | Retail | กลยุทธ์ "Scaling Up Your Business" ของเซ็นทรัลพัฒนา: เสริมแกร่งพันธมิตร สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นอย่างไรจงอธิบาย | null | เซ็นทรัลพัฒนา มุ่งมั่นขับเคลื่อนนโยบาย "Scaling Up Your Business" สนับสนุนพันธมิตรธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านกลยุทธ์หลัก 3 ประการ:
1. ENABLE to scale up your business:
ขยายธุรกิจไปกับศูนย์การค้าเซ็นทรัลอันแข็งแกร่งกว่า 34 สาขาทั้งในและต่างประเทศ
จับเทรนด์ Urbanization พัฒนาโครงการแบบ Fully-Integrated Mixed-Use Development
เพิ่ม Regular Traffic จากโครงการ Residential ติดหรือใกล้ศูนย์การค้า
ศูนย์การค้าเซ็นทรัลมี Positioning ที่ชัดเจนเป็น Center of Life ตอบโจทย์ทุกความต้องการ
ทราฟฟิกฟื้นตัวหลังคลายล็อคดาวน์ ภายในไตรมาสที่ 4/2564 คาดว่าจะมี Traffic Recovery ประมาณ 70-80%
2. ENSURE excellent services, facilities and synergies:
บริการและสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางที่พร้อมให้บริการ
ลงทุนด้าน Hygiene & Safety Facility, แผนการตลาด, CRM Marketing, Knowledge & Know-how
สร้างบรรทัดฐานแผนแม่บท "เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ Safe Plus+"
Impactful & Comprehensive Marketing เช่น การโปรโมทโดย Influencer & KOLs
New Disruptive Sales Channels เช่น Omnichannel Services อย่าง Chat & Shop และ Central Kitchen
3. EMPOWER with Big Data:
ร่วมกับ The 1 Digital Lifestyle & Loyalty Platform อันดับหนึ่งของประเทศ
เข้าถึง Established Database ของ The 1 ที่มีสมาชิกกว่า 18 ล้านคน
เครื่องมือ The 1 Biz ช่วยให้ร้านค้าเข้าใจลูกค้า ดึงดูดลูกค้าใหม่ รักษาฐานลูกค้า
The 1 มีฐานสมาชิกร้านค้ากว่า 2,000 แบรนด์ 30,000 Touchpoints เชื่อมโยงลูกค้ากว่า 18 ล้านราย
ข้อมูลเชิงลึกจาก The 1 Consumer Insights ช่วยให้ร้านค้าเข้าใจลูกค้า ออกแบบกลยุทธ์ทางการตลาดได้แม่นยำ
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง:
พันธมิตรธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
ยอดขายร้านค้าเพิ่มขึ้น
กระตุ้นเศรษฐกิจไทย
ตัวอย่างความสำเร็จ:
แบรนด์ Kam’s Roast, Tsuta Ramen, Sushiro, SAEMAEUL Sikdang ประสบความสำเร็จ
Hai Di Lao ขยายสาขากับเซ็นทรัลพัฒนา 3 สาขา
แบรนด์ E-Commerce ขยายจากออนไลน์มาเปิดหน้าร้าน
สรุป:
กลยุทธ์ "Scaling Up Your Business" ของเซ็นทรัลพัฒนา มุ่งเน้นการสนับสนุนพันธมิตรธุรกิจอย่างรอบด้าน ผ่านการผสานจุดแข็งของ Offline-Online-Big Data ช่วยให้พันธมิตรเติบโตอย่างยั่งยืนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56827 | Retail | ในยุคที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการช้อปปิ้งมากมาย อะไรคือกลยุทธ์สำคัญที่เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จะใช้เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกซูเปอร์มาร์เก็ต? | null | กลยุทธ์สำคัญที่เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จะใช้เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกซูเปอร์มาร์เก็ต มีดังนี้
1. มุ่งเน้นการพัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อ (Omnichannel)
-พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ "Tops Online" ให้มีประสิทธิภาพและใช้งานง่ายยิ่งขึ้น
-ขยายบริการ Personal Shopper และ Quick Commerce
-นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้เพื่อเพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้ง เช่น การใช้ AI ในการแนะนำสินค้า
-ผสมผสานประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน เช่น บริการ Click & Collect
2. นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการ
-ขยาย ассортиментสินค้าให้ครอบคลุมทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าสด อาหารพร้อมทาน สินค้าเพื่อสุขภาพ สินค้าออร์แกนิก และสินค้าเฉพาะกลุ่ม
-พัฒนาบริการใหม่ๆ เช่น บริการจัดส่งอาหารสด บริการทำอาหาร
-นำเสนอสินค้าและบริการในราคาที่แข่งขันได้
3. มุ่งเน้นการให้บริการที่เหนือระดับ
-พัฒนาทักษะและความรู้ของพนักงานให้สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-มอบบริการพิเศษแก่ลูกค้า เช่น บริการเดลิเวอรี่ฟรี บริการ Personal Shopper
-เพิ่มช่องทางการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
4. พัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
-สนับสนุนสินค้าเกษตรอินทรีย์ สินค้าท้องถิ่น และสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
-ลดการใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ
-ส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคม
ตัวอย่างกลยุทธ์ที่เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล นำมาใช้
-เปิดตัว "Tops CLUB" คลับสมาชิกที่มอบสิทธิประโยชน์พิเศษแก่ลูกค้า
-พัฒนาแอปพลิเคชัน "Tops" ใหม่ เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวกยิ่งขึ้น
-ขยายสาขา "ท็อปส์ มาร์เก็ต" และ "ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต" ทั่วประ
เทศ
-ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการใหม่ๆ
ผลลัพธ์
กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล รักษาความเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกซูเปอร์มาร์เก็ตได้
ข้อเสนอแนะ
-เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ควรติดตามเทรนด์ใหม่ๆ ในธุรกิจค้าปลีกอยู่เสมอ
-นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการ
-มุ่งเน้นการให้บริการที่เหนือระดับเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
สรุป
เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ประสบความสำเร็จในการรักษาความเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกซูเปอร์มาร์เก็ต ด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการพัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อ นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย มุ่งเน้นการให้บริการที่เหนือระดับ และพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
กลยุทธ์สำคัญที่เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จะใช้เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกซูเปอร์มาร์เก็ต มีดังนี้
1. มุ่งเน้นการพัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อ (Omnichannel)
-พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ "Tops Online" ให้มีประสิทธิภาพและใช้งานง่ายยิ่งขึ้น
-ขยายบริการ Personal Shopper และ Quick Commerce
-นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้เพื่อเพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้ง เช่น การใช้ AI ในการแนะนำสินค้า
-ผสมผสานประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน เช่น บริการ Click & Collect
2. นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการ
-ขยาย ассортиментสินค้าให้ครอบคลุมทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าสด อาหารพร้อมทาน สินค้าเพื่อสุขภาพ สินค้าออร์แกนิก และสินค้าเฉพาะกลุ่ม
-พัฒนาบริการใหม่ๆ เช่น บริการจัดส่งอาหารสด บริการทำอาหาร
-นำเสนอสินค้าและบริการในราคาที่แข่งขันได้
3. มุ่งเน้นการให้บริการที่เหนือระดับ
-พัฒนาทักษะและความรู้ของพนักงานให้สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-มอบบริการพิเศษแก่ลูกค้า เช่น บริการเดลิเวอรี่ฟรี บริการ Personal Shopper
-เพิ่มช่องทางการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
4. พัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
-สนับสนุนสินค้าเกษตรอินทรีย์ สินค้าท้องถิ่น และสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
-ลดการใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ
-ส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคม
ตัวอย่างกลยุทธ์ที่เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล นำมาใช้
-เปิดตัว "Tops CLUB" คลับสมาชิกที่มอบสิทธิประโยชน์พิเศษแก่ลูกค้า
-พัฒนาแอปพลิเคชัน "Tops" ใหม่ เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวกยิ่งขึ้น
-ขยายสาขา "ท็อปส์ มาร์เก็ต" และ "ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต" ทั่วประเทศ
-ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการใหม่ๆ
ผลลัพธ์
กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล รักษาความเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกซูเปอร์มาร์เก็ตได้
ข้อเสนอแนะ
-เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ควรติดตามเทรนด์ใหม่ๆ ในธุรกิจค้าปลีกอยู่เสมอ
-นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการ
-มุ่งเน้นการให้บริการที่เหนือระดับเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
สรุป
เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ประสบความสำเร็จในการรักษาความเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกซูเปอร์มาร์เก็ต ด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการพัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อ นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย มุ่งเน้นการให้บริการที่เหนือระดับ และพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56832 | Retail | ขอคำแนะนำหน่อย แบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกของ พูม่า สปอร์ตส ประเทศไทย คือใคร | null | ลุควิค ไซ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท พูม่า สปอร์ตส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ทางพูม่าเห็นถึงศักยภาพตลาดเครื่องแต่งกายและรองเท้ากีฬาในประเทศไทยที่มีกำลังซื้อสูง และเห็นโอกาสที่จะสามารถเติบโตในตลาดนี้ได้อีกในอนาคต จึงได้เปิดร้านค้าอย่างเป็นทางการของทางพูม่าขึ้นเป็นครั้งแรก พร้อมกับการปรับเปลี่ยนรูปโฉมแบรนด์ครั้งยิ่งใหญ่ให้ดูเข้าถึงได้ สวมใส่ได้ง่าย ทันสมัย และสามารถนำ sport style มาสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้มากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังคงความพรีเมียม รวมทั้งความเป็นกีฬาอันเป็นเอกลักษณ์หลักของแบรนด์พูม่าไว้
“พูม่าเป็นแบรนด์ที่อยู่คู่วงการกีฬามาอย่างยาวนาน และกำลังจะครบรอบ 75 ปี ในปีหน้า นับเป็นความภาคภูมิใจของพูม่าที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวงการกีฬามาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ด้วยภาพลักษณ์ของพูม่ายังมีความเป็นแบรนด์กีฬาอยู่มาก ทำให้ผู้คนอาจคิดว่านำมาสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้ยาก เราจึงอยากเปลี่ยนภาพลักษณ์แบรนด์ให้สามารถสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้เข้ากับกระแสชุดกีฬาลำลองที่กำลังมาแรงในกลุ่ม Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเรา”
โดยพูม่ามีแผนจะเพิ่มสาขาในประเทศไทย เพื่อรองรับกับความต้องการของตลาดตามชานเมือง และหัวเมืองสำคัญ โดยจะเริ่มขยายสาขาในกรุงเทพฯ ก่อนเป็นที่แรก รวมทั้งการให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น e-commerce ผ่านเว็บไซต์ puma.com และมีแผนที่จะร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรผู้ค้าส่ง (Wholesale Partners) กลุ่มผู้ค้าปลีกมัลติแบรนด์ (Multi-Branded Retailers) และกลุ่มห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เพื่ออำนวยความสะดวก และสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น
ลุควิค กล่าวเสริมอีกว่า เพื่อให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ และตอกย้ำว่าพูม่าอยากสนับสนุนให้ทุกคนออกตามหาตัวเอง เป็นตัวของตัวเองไม่เดินตามใคร ได้เป็นตัวเอง แล้วจะรักตัวเองมากยิ่งขึ้นไปกับพูม่า ผ่านแคมเปญ Find Yourself Faster และยังได้นักแสดงหนุ่มอย่าง “ลุค - อิชิคาว่า” มาเป็นแอมบาสเดอร์ประจำประเทศไทยคนแรกอีกด้วย
“ผมทราบมาว่าลุคชอบออกกำลังกายมาก และเคยเล่นกีฬาหลายประเภท ทั้งว่ายน้ำ บาสเก็ตบอล และเทนนิส ที่เขาเคยเป็นถึงกัปตันทีมเทนนิสในสมัยที่ยังเรียนอยู่ จุดนี้ก็เป็นจุดที่ทำให้เราประทับใจในตัวเขา ประกอบกับภาพลักษณ์และไลฟ์สไตล์ที่เข้ากับทางแบรนด์พูม่าได้เป็นอย่างดี พูม่าจึงคิดว่าลุคมีความเหมาะสมอย่างมากที่จะเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกประจำประเทศไทย”
นอกจากนี้ เพื่อชวนวัยรุ่นชาวไทยให้ออกมาตามหาตัวเองไปพร้อมๆ กับพูม่า พูม่าายังชวนคนรุ่นใหม่มากความสามารถมาร่วมถ่ายทำโฆษณาที่เพิ่งปล่อยออกมาภายใต้คอนเซ็ปต์ “I’m….But…..” นำทีมโดยคุณเค้ง – ณภัทร อัสสันตชัย นักเรียนม.ปลายพ่วงตำแหน่งศิลปิน NFT, คุณมิก - ธีรภัทร โปร่งอรุณ อดีตนักกรีฑาทีมชาติไทยเจ้าของเหรียญทองหลายรายการ, คุณคิม - วรษา คาฮิลล์ นางแบบสาวพลัสไซส์ และคุณม๊าเดี่ยว - อภิเชษฐ์ เอติรัตนะ นางแบบและแฟชั่นดีไซเนอร์ที่นิตยสารระดับโลกอย่าง TIMES ยังยกให้เธอเป็นหนึ่งใน "Next Generation Leaders" ดีไซเนอร์เลือดใหม่ผู้เปลี่ยนโลกแฟชั่นอีกด้วย ผมก็ประทับใจมากกับความสามารถ และตัวตนที่โดดเด่น ไม่เหมือนใครของพวกเขา ซึ่งตรงกับแคมเปญ Find Yourself Faster ของทางแบรนด์พูม่ามากๆ เลยครับ”
ปัจจุบัน พูม่ามีสินค้าเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายกีฬา รวมไปถึงชุดลำลองกีฬาและชุดลำลองธรรมดาให้ลูกค้าได้เลือกสรรอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า และอุปกรณ์การกีฬาประเภทต่างๆ อาทิ กีฬาวิ่ง เทรนนิ่ง ยิม ฟุตบอล บาสเก็ตบอล รวมไปถึง มอเตอร์สปอร์ต ครอบคลุมทั้งเครื่องแต่งกายผู้หญิง ผู้ชาย และเด็ก โดยให้บริการผ่านทางห้างสรรพสินค้าชั้นนำแผนกเครื่องแต่งกายกีฬา ร้านค้าพันธมิตร และร้านค้ามัลติแบรนด์ โดยทางพูม่าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถเติบโตได้เพิ่มขึ้น 2-3 เท่า และก้าวขึ้นเป็นอันดับต้นๆ ในวงการเครื่องแต่งกายและรองเท้ากีฬาไทย พร้อมตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าครองใจกลุ่ม Gen Z แต่ยังคงสามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ได้
สำหรับผู้ที่สนใจ | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56849 | Retail | ช่วยสรุปเรื่อง กลยุทธ์ โมเดอร์นฟอร์ม ได้ไหม | เพราะรู้ว่าโลกแห่งการทำงานหลังจากนี้ จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป...
ในเมื่อเทรนด์ของการทำงานยุคใหม่ เปิดโอกาสให้ทุกคนทำงานแบบทางไกล หรือ ทำงานจากที่บ้าน
และออฟฟิศอาจไม่ใช่ฐานทัพสำคัญในการทำงานเพียงแห่งเดียวเหมือนในอดีต เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน ไอเทมนอกสายตาที่ไม่จำเป็นต้องมีในบ้านก็ได้
กลายเป็น Must Have Item ของคนทำงานยุคนี้อย่างไม่ต้องสงสัย… คำถาม คือ แบรนด์เฟอร์นิเจอร์จะปรับตัวอย่างไร เพื่อคว้าโอกาสทองนี้ แน่นอนว่า เมื่อความต้องการของผู้บริโภคอยู่ตรงไหน
แบรนด์ที่อยากเข้าถึงผู้บริโภคก็ต้องพร้อมปรับตัวให้ไว เพื่อตอบโจทย์ของลูกค้าให้ทันเวลา เมื่อเป็นเช่นนี้ “โมเดอร์นฟอร์ม” ในฐานะผู้นำธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่คู่คนไทยมานานกว่า 40 ปี
จึงต้องวางกลยุทธ์กำหนดทิศทางธุรกิจให้สอดคล้องกับวิถีโลกยุคใหม่ ตั้งแต่ปีที่แล้ว “โมเดอร์นฟอร์ม” มีการ Rebranding
ปรับลุคให้ดูวัยรุ่น แถมยังเข้าใจความต้องการของคนยุคใหม่
หันมาเจาะกลุ่ม Retail มากขึ้น จากเดิมที่เน้นขายสินค้าแบบ B2B
หรือการขายเฟอร์นิเจอร์ให้แก่โครงการคอนโดมิเนียมและสำนักงานต่าง ๆ นอกจากนี้ยังสร้างสีสันให้วงการ ด้วยการไป Collaboration กับหลากหลายแบรนด์ดัง
แต่ที่ฮือฮาที่สุด คงหนีไม่พ้น คอลเลกชันที่ไปร่วมมือ กับ Xiaomi ซึ่งถือว่าเป็นแบรนด์ไทยแบรนด์แรกในการร่วมมือกับ Xiaomi ผลพวงจากการ Rebranding บวกกับกลยุทธ์การตลาดที่ไม่เหมือนใคร และ การปรับตัวมาบุกช่องทางออนไลน์ เข้าไปอยู่ใน Marketplace ทำให้ผลประกอบการในปีที่ผ่านมาของ “โมเดอร์นฟอร์ม”
แม้จะเป็นช่วงโควิด 19 แต่รายได้ของบริษัทก็ยังอยู่ในระดับเดียวกับเมื่อปี 2019 คือ ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งพัฒนะ อุษณาจิตต์ กรรมการบริหาร บริษัท โมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป จำกัด
(มหาชน) บอกว่า “น่าพอใจ” แต่ “ไม่น่าดีใจ”
ดังนั้นในปีนี้ ที่ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะเริ่มคลี่คลาย ตั้งเป้าว่าผลประกอบการน่าจะเพิ่มขึ้น10% มาแตะที่ 3,300ล้านบาท โดยหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ “โมเดอร์นฟอร์ม” หมายมั่นว่าจะเป็นหมัดเด็ด
คือ คาราวานสินค้าจาก Steelcase แบรนด์นวัตกรรมเฟอร์นิเจอร์สำนักงานระดับโลก
ที่โมเดอร์นฟอร์มเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวมานานถึง 28 ปี หลายคนอาจสงสัยว่าแล้ว Steelcase น่าสนใจอย่างไร
“โมเดอร์นฟอร์ม” ถึงกับเลือกให้เป็นหนึ่งในไพ่ใบสำคัญ ต้องบอกก่อนว่า Steelcase เป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับตำนาน
เบื้องหลังความสำเร็จที่ทำให้แบรนด์ยืนยงมาได้ถึง 108 ปี
มาจากความใส่ใจในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น เพื่อแก้ไขปัญหาในการใช้งานให้ดียิ่งขึ้น Close Ad Close Ad กว่าจะผลิตเก้าอี้ออกมาแต่ตัว ต้องทำการวิจัย เพื่อหาคำตอบว่าผู้ใช้งานต้องการเก้าอี้แบบใด
จากนั้นจึงนำมาพัฒนา ออกแบบสินค้า แล้วจึงผลิตออกมาเพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานอย่างแท้จริง ด้วยความใส่ใจทำให้มีเก้าอี้สำนักงานหลายรุ่นที่ประสบความสำเร็จ
และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมถึงมียอดขายเป็นอันดับ 1 ของโลก
ปัจจุบันมีจำหน่ายอยู่ใน 80 ประเทศทั่วโลก โดยในปี 2020 มียอดขาย 123,000 ล้านบาท สำหรับในประเทศไทยเอง Steelcase ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์เรือธงที่ทำยอดขายได้ถล่มทลายในช่วงโควิด19
เพราะด้วยความโดดเด่นของสินค้าที่คิดค้นและผลิตเพื่อแก้ปัญหาคนทำงานที่ต้องนั่งทำงานวันละหลายชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็น -Flex Collection โต๊ะทำงานที่สามารถปรับระดับความสูงและเคลื่อนย้ายได้อย่างสะดวก สามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่น เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งาน -Series 2 มาพร้อมเทคโนโลยี Air Liveback ช่วยให้พนักพิงมีความยืดหยุ่นสูง รองรับการเคลื่อนไหวของแนวกระดูกสันหลังได้เป็นอย่างดี -Gesture โดดเด่นด้วยฟังก์ชั่นปรับระดับความสูงและความลึกของเบาะ รวมทั้งองศาที่เท้าแขน รวมไปถึงผนังพิงแบบ 3D LiveBack - Brody Privacy Work Lounge ตอบโจทย์การทำงานแบบคนเดียว ด้วยรูปแบบที่โอบรับรอบด้าน แต่ถ้าต้องการทำงานเป็นทีมก็สามารถจัดวางต่อกันได้ตามรูปแบบที่ต้องการ “เรามั่นใจว่า ต่อให้สถานการณ์โควิด 19 จะคลี่คลาย แต่ดีมานด์จะไม่หาย
เพราะแม้ความต้องการของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไป แต่สุดท้ายผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ
ซึ่ง Steelcase มีสินค้าที่พร้อมตอบโจทย์ทั้งดีไซน์ และฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้งานและยังดีต่อสุขภาพในระยะยาว” อย่างไรก็ตาม อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่า Steelcase เป็นเพียงหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดของ“โมเดอร์นฟอร์ม”
เท่านั้น ส่วนหลังจากนี้ จะมีหมัดเด็ดอะไรออกมาสร้างความตื่นเต้นให้ตลาด คงต้องอดใจรอ
แต่ที่ไม่นานเกินรอ คือ ภายในไตรมาส 2 นี้ “โมเดอร์นฟอร์ม” จะพัฒนาช่องทางอี-คอมเมิร์ซของตัวเอง
และยังทุ่มงบอีก 10 ล้านเพื่อปรับปรุงโชว์รูมทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์, เพลินจิตและศรีนครินทร์ สิบปากว่าไม่เท่าไปสัมผัสได้ตัวเอง
ใครที่ไม่อยากให้ความสุขของการทำงานถูกทำลาย เพราะอาการปวดเมื่อย ล้า
ลองแวะไปชมตัวอย่างสินค้าได้ที่โชว์รูม “โมเดอร์นฟอร์ม” อาคารคิวเฮ้าส์ เพลินจิต | โมเดอร์นฟอร์ม มีการ Rebranding ปรับลุคให้ดูวัยรุ่น จากเดิมที่เน้นขายสินค้าแบบ B2B สร้างสีสันให้วงการ Collaboration กับหลากหลายแบรนด์ดัง ทำให้ผลประกอบการในปีที่ผ่านมาได้ ประมาณ 3,000 ล้านบาท
หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ คือ คาราวานสินค้าจาก Steelcase แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับตำนาน ใส่ใจในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น ความโดดเด่นของสินค้า ผลิตเพื่อแก้ปัญหาคนทำงาน Flex Collection โต๊ะทำงานที่สามารถปรับระดับความสูงและเคลื่อนย้ายได้ Series 2 มาพร้อมเทคโนโลยี Air Liveback ช่วยให้พนักพิงมีความยืดหยุ่น Gesture โดดเด่นด้วยฟังก์ชั่นปรับระดับความสูงและความลึกของเบาะ Brody Privacy Work Lounge ตอบโจทย์การทำงานแบบคนเดียว ด้วยรูปแบบที่โอบรับรอบด้านรอบด้านดี ฟังก์ชันดี และ ดีต่อสุขภาพในระยะยาว | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56852 | Retail | LINE MAN Wongnai จะรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันและขยายฐานลูกค้าอย่างไร ในยุคที่มีการแข่งขันสูงและตลาดฟูดดิลิเวอรีหดตัว | null | LINE MAN Wongnai จะรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันและขยายฐานลูกค้าอย่างไร ในยุคที่มีการแข่งขันสูงและตลาดฟูดดิลิเวอรีหดตัว มีหลายวิธี ดังนี้
1. มุ่งเน้นการทำกำไร:
- ควบคุมต้นทุนการดำเนินงาน
- พัฒนาระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ
- เสนอบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น บริการรับส่งสินค้าทั่วไป
2. ขยายธุรกิจ Non-Food:
- พัฒนาบริการใหม่ ๆ เช่น บริการส่งของชำ บริการรับส่งพัสดุ
- ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ
- ขยายไปยังตลาดใหม่
3. พัฒนาระบบเทคโนโลยี:
- พัฒนาแอปพลิเคชันให้ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว
- นำเสนอระบบ AI และ Big Data เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า
- พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ระบบไร้คนขับ
4. มุ่งเน้นประสบการณ์ลูกค้า:
- เสนอบริการที่มีคุณภาพ
- พัฒนาโปรโมชั่นและส่วนลด
- จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย
5. รักษาความยั่งยืน:
- สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด
- ส่งเสริมการลดมลพิษ
- สนับสนุนชุมชน
ตัวอย่าง:
- LINE MAN Wongnai พัฒนาบริการ LINE MAN MART บริการสั่งของสด-ของใช้ด่วน
- LINE MAN Wongnai ร่วมมือกับ GrabFood ในการให้บริการ GrabKitchen
- LINE MAN Wongnai พัฒนาระบบ LINE MAN AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและคาดการณ์ความต้องการของลูกค้า
อย่างไรก็ตาม LINE MAN Wongnai ยังมีอุปสรรคหลายประการ เช่น
- การแข่งขันจากบริษัทอื่น ๆ
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค
- กฎระเบียบของภาครัฐ
แนวทางเพิ่มเติม:
- LINE MAN Wongnai ควรพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ
- พัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้า
- ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
สรุป:
LINE MAN Wongnai จะรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันและขยายฐานลูกค้า จำเป็นต้องมุ่งเน้นการทำกำไร ขยายธุรกิจ Non-Food พัฒนาระบบเทคโนโลยี มุ่งเน้นประสบการณ์ลูกค้า และรักษาความยั่งยืน LINE MAN Wongnai ควรพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ พัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้า และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด อนาคตของธุรกิจฟูดดิลิเวอรี ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อไป LINE MAN Wongnai ที่ปรับตัวได้ทันเท่านั้นที่จะอยู่รอดและประสบความสำเร็จ | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56856 | Retail | การเสนอขายหุ้น IPO ของ CRC จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยหรือไม่? | null | ใช่
เหตุผล คือ:
1. CRC เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย: CRC ครอง ส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ในธุรกิจค้าปลีกหลายประเภท เช่น ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ การเสนอขายหุ้น IPO ของ CRC จะช่วยเพิ่มเงินทุนสนับสนุนการขยายธุรกิจ เสริมสร้างความแข็งแกร่ง และสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน ส่งผลดีต่อภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย
2. CRC มุ่งเน้นกลยุทธ์ Customer-Centric Omnichannel: CRC ให้ความสำคัญกับการนำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไร้รอยต่อ ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน กลยุทธ์นี้ช่วยตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ดึงดูดลูกค้าใหม่ และเพิ่มโอกาสในการขาย
3. CRC มีแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง: CRC วางแผนขยายสาขาใหม่ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ การขยายธุรกิจจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับคู่ค้าและผู้ประกอบการรายย่อย
4. CRC มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง: CRC มีผลประกอบการที่เติบโตอย่างสม่ำเสมอ มีกระแสเงินสดที่มั่นคง และมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำ สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งช่วยให้ CRC สามารถลงทุนในธุรกิจใหม่
5. CRC มีทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์: CRC บริหารงานโดยทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจค้าปลีก ทีมผู้บริหารมีความเชี่ยวชาญ
ตัวอย่างผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก:
- การขยายสาขาของ CRC: การขยายสาขาใหม่ของ CRC จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับคู่ค้าและผู้ประกอบการรายย่อย
- การพัฒนาเทคโนโลยี: CRC ลงทุนในเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้า การพัฒนาเทคโนโลยีจะช่วยยกระดับธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย
- การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น: การเสนอขายหุ้น IPO ของ CRC จะดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีก ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่มากขึ้น การแข่งขันจะกระตุ้นให้ธุรกิจค้าปลีกพัฒนาสินค้า บริการ และประสบการณ์การช้อปปิ้งให้ดียิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเสนอขายหุ้น IPO ของ CRC อาจมีผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกบางประเภท เช่น ร้านค้าปลีกขนาดเล็กที่ไม่สามารถแข่งขันกับ CRC ได้
โดยสรุป: การเสนอขายหุ้น IPO ของ CRC น่าจะมีผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยมากกว่าผลเสีย | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56857 | Retail | กลยุทธ์ที่สำคัญที่ทำให้ห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัลประสบความสำเร็จในยุโรปคืออะไร? | null | กลยุทธ์ที่สำคัญที่ทำให้ห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัลประสบความสำเร็จในยุโรป มีดังนี้:
1. เน้นสินค้าลักชัวรี่: ห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัลในยุโรป เน้นสินค้าลักชัวรี่ แบรนด์เนมชั้นนำระดับโลก ซึ่งดึงดูดลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง
2. นวัตกรรม: ห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัล มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมมาพัฒนาและทรานฟอร์มธุรกิจอยู่เสมอ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เช่น การนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบการชำระเงิน การให้บริการลูกค้า การจัดแสดงสินค้า
3. ประสบการณ์: ห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัล มุ่งมั่นสร้างประสบการณ์ที่พิเศษสุดให้กับลูกค้า เช่น การจัดงานอีเวนต์ต่างๆ การบริการระดับพรีเมียม
4. ทำเล: ห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัล ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ใจกลางเมืองใหญ่ๆ
5. การเข้าซื้อกิจการ: กลุ่มเซ็นทรัล เข้าซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าชั้นนำในยุโรปหลายแห่ง เช่น ห้างคาเดเว, อัลสแตร์เฮาส์ และ โอเบอร์โพลลิงเกอร์
6. บุคลากร: ห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัล มีบุคลากรที่มีคุณภาพ ให้บริการลูกค้าด้วยความประทับใจ
7. การผสมผสานวัฒนธรรม: กลุ่มเซ็นทรัล ผสมผสานวัฒนธรรมไทยและยุโรปเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
8. การเข้าใจตลาด: กลุ่มเซ็นทรัล เข้าใจตลาดในยุโรปเป็นอย่างดี และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในท้องถิ่น
9. การพัฒนาอย่างยั่งยืน: กลุ่มเซ็นทรัล มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และสังคม
10. กลยุทธ์ Omni-channel: กลุ่มเซ็นทรัล มุ่งเน้นพัฒนาธุรกิจแบบ Omni-channel ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน
โดยสรุป: กลยุทธ์ที่สำคัญที่ทำให้ห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัลประสบความสำเร็จในยุโรป คือ การเน้นสินค้าลักชัวรี่ นวัตกรรม ประสบการณ์ ทำเล การเข้าซื้อกิจการ บุคลากร การผสมผสานวัฒนธรรม การเข้าใจตลาด การพัฒนาอย่างยั่งยืน และกลยุทธ์ Omni-channel | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56858 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลมีบทบาทสำคัญในชีวิตคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย | null | รอยยิ้มแห่งกาลเวลา: เรื่องราวจากห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล
ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาลาดพร้าว แสงไฟระยิบระยับประดับประดา บรรยากาศคึกคักไปด้วยผู้คน เด็กหญิงวัย 8 ขวบชื่อ “มายด์” ยืนมองดูตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่วางโชว์อยู่หน้าร้าน รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของเธอ เธออ้อน “คุณแม่” ให้ซื้อตุ๊กตาหมีให้
“แม่ซื้อให้หนูได้ไหมคะ หนูอยากได้ตุ๊กตาหมีตัวนี้มานานแล้ว” มายด์พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ได้สิลูก เดี๋ยวแม่ซื้อให้” คุณแม่ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณค่ะแม่” มายด์กล่าวด้วยความดีใจ
“มายด์จำได้ไหมว่า ครั้งแรกที่แม่พามายด์มาที่ห้างนี้คือเมื่อไหร่?” คุณแม่ถาม
“จำไม่ได้ค่ะ” มายด์ตอบ
“ตอนนั้นมายด์ยังเล็กมาก ประมาณ 2 ขวบ ตอนนั้นห้างนี้เพิ่งเปิดใหม่ ทุกคนตื่นเต้นกันมาก แม่พามายด์มาเดินเล่นที่นี่บ่อยๆ มายด์ชอบมาที่นี่มาก” คุณแม่เล่า
“มายด์ก็ชอบมาที่นี่เหมือนกันค่ะ ที่นี่มีของเล่นให้เล่นเยอะ มีร้านอาหารอร่อยๆ และมีกิจกรรมสนุกๆ ให้ทำเสมอ” มายด์พูด
“ใช่แล้ว ที่นี่เหมือนบ้านหลังที่สองของเราเลยเนอะ” คุณแม่กล่าว
มายด์และคุณแม่เดินเล่นในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล จับจ่ายซื้อของ ทานอาหาร และร่วมกิจกรรมต่างๆ มายด์รู้สึกมีความสุขมาก เธอได้พบปะเพื่อนใหม่ ได้เล่นของเล่น ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย
“มายด์รู้ไหมว่า ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลมีบทบาทสำคัญในชีวิตคนไทยมากแค่ไหน” คุณแม่ถาม
“ไม่รู้ค่ะ” มายด์ตอบ
“ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเป็นมากกว่าแค่สถานที่ซื้อของ ที่นี่เป็นเหมือนศูนย์กลางของชุมชน เป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ เป็นแหล่งเรียนรู้ และเป็นแหล่งบันเทิง ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลอยู่เคียงข้างคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความสุขและความทุกข์มาด้วยกัน” คุณแม่อธิบาย
“มายด์ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ที่นี่เหมือนบ้านหลังที่สองของมายด์จริงๆ” มายด์พูด
“แม่ก็ภูมิใจเหมือนกัน หวังว่าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลจะอยู่เคียงข้างคนไทยต่อไปอีกนานแสนนาน” คุณแม่กล่าว
“ค่ะ” มายด์ตอบ
“มายด์สัญญากับแม่นะว่า จะเป็นคนดี เรียนเก่ง และช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ” คุณแม่พูด
“ค่ะ มายด์สัญญา” มายด์ตอบ
มายด์และคุณแม่เดินออกจากห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล รอยยิ้มยังคงปรากฏบนใบหน้าของทั้งคู่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลไม่ใช่แค่สถานที่ซื้อของ แต่เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำดีๆ เป็นสถานที่ที่สร้างรอยยิ้มให้กับคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56860 | Retail | Burger King และ Popeyes ควรใช้กลยุทธ์การดึงดูดลูกค้าแบบไหนเพื่อกู้สถานการณ์ ยอดขาย และส่วนแบ่งทางการตลาดในไตรมาสที่ 4? | ล่าสุด เชนฟาสต์ฟูดอย่าง Burger King และ Popeyes กำลังเจอความท้าทายทั้งในด้านการตลาด, การขาดแคลนพนักงาน และการระบาดของเชื้อไวรัสเดลต้าสายพันธุ์ใหม่
ทำให้รายได้ของบริษัทแม่อย่าง Restaurant Brands International (RBI) ในไตรมาส 3 ไม่ถึงเป้าที่คาดไว้ โดยหากมาดูยอดขายในไตรมาสล่าสุด (ก.ค. - ก.ย. 2021)
RBI มีรายได้ 49,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
และมีกำไร 7,330 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้รายได้จะเติบโต แต่บริษัทก็พลาดเป้ารายได้ที่คาดการณ์ไว้ที่ 50,800 ล้านบาท
ทำให้หลังจากประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส
ราคาหุ้นของบริษัท RBI ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ร่วงลงทันที -5.0% ทั้งนี้ เชนร้านอาหารในเครือของ RBI ก็มีทั้ง Burger King, Tim Hortons, Popeyes และอื่น ๆ
โดยแต่ละแบรนด์ ก็ประสบกับปัญหาและความท้าทายที่แตกต่างกันออกไป อย่างทาง Burger King ในสหรัฐฯ นักวิเคราะห์ระบุถึงสาเหตุที่ยอดขายพลาดเป้า
ว่าทางแบรนด์ได้ประสบปัญหาในด้านการสื่อสารการตลาดที่ไม่ค่อยราบรื่น และไม่สามารถดึงดูดลูกค้าได้มากนัก ซึ่งนอกจากอุปสรรคจากปัจจัยภายในแล้ว ก็ยังมีปัจจัยภายนอกในด้านคู่แข่งอย่าง McDonald's และ Wendy's ที่ลุกขึ้นมาทำการตลาดอย่างจริงจัง รวมไปถึงการออกเมนูใหม่ที่มาแย่งลูกค้าไปอีกด้วย โดยทาง Wendy’s มีการออกเมนู Big Bacon Cheddar Cheeseburger รวมถึงมีการปรับปรุงสูตรเฟรนช์ฟรายส์ให้กรอบได้นานขึ้น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ส่วนด้าน McDonald's ก็ได้มีการร่วมมือกับวงบอยแบนด์จากเกาหลีใต้อย่าง BTS และแรปเปอร์ชาวอเมริกันอย่าง Saweetie ในการโปรโมตแคมเปญการตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้า ด้วยความที่คู่แข่งบุกตลาดแบบจัดเต็ม และ Burger King ไม่ได้มีแผนตั้งรับที่ดีพอ
จึงเป็นส่วนที่ทำให้ผลประกอบการของแบรนด์ ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในไตรมาสที่ 3 พอเรื่องเป็นแบบนี้ ทางคุณ Jose Cil ประธานบริหารของ RBI ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด โดยเขาได้ระบุว่า
“ทางบริษัทได้เห็นช่องว่างระหว่างเรากับคู่แข่งอย่างชัดเจน และเราได้ตระหนักถึงเรื่องนี้แล้ว
แต่ในขณะเดียวกัน ทางบริษัทก็เห็นโอกาสในด้านการจัดการ, สื่อดิจิทัล, เมนูและภาพลักษณ์ ในการดำเนินงาน เพื่อกู้คืนส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทเช่นกัน” ส่วนทางด้าน Popeyes เชนฟาสต์ฟูดที่เน้นการขายเบอร์เกอร์, แซนด์วิช และไก่ อาจต้องพิจารณาถึงเรื่องแรงจูงใจของพนักงานในการเข้าทำงาน
เนื่องจากทางแบรนด์ประสบปัญหาด้านพนักงานไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงกะกลางคืน
จากปัญหาดังกล่าว ทำให้ทาง Popeyes จำเป็นต้องลดชั่วโมงการดำเนินงานลงในบางสาขา ซึ่งทางคุณ Jose Cil กล่าวว่า ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งในการกู้สถานการณ์ด้านแรงงาน
เนื่องจากพนักงานที่ทำงานรายชั่วโมงส่วนมาก หันไปทำงานที่มีรายได้สูงขึ้นในคลังสินค้า และธุรกิจอื่น ๆ Close Ad Close Ad และทั้งหมดนี้ก็คือส่วนหนึ่งของความท้าทาย ที่ RBI และเชนร้านอาหารชื่อดังในเครือ ยังคงต้องเผชิญอยู่ และกำลังเดินหน้าแก้เกม เพื่อพลิกสถานการณ์กันต่อไป อ้างอิง :
- | Burger King และ Popeyes ประสบกับความท้าทายหลายประการในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา กลยุทธ์การดึงดูดลูกค้าที่สามารถช่วยกู้สถานการณ์ ยอดขาย และส่วนแบ่งทางการตลาดในไตรมาสที่ 4 ควรเน้นไปที่:
1. ปรับปรุงการสื่อสารการตลาด:
Burger King ควรทบทวนกลยุทธ์การสื่อสารการตลาด เน้นความชัดเจน ดึงดูดใจ และสร้างการจดจำ
Popeyes ควรเน้นการสื่อสารผ่านช่องทางดิจิทัลที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
2. พัฒนาเมนูใหม่:
Burger King ควรนำเสนอเมนูใหม่ที่แปลกใหม่ ดึงดูดใจ และสร้างกระแส
Popeyes ควรพัฒนาเมนูไก่ทอดให้หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
3. จัดโปรโมชั่นและกิจกรรม:
Burger King ควรจัดโปรโมชั่นและกิจกรรมดึงดูดลูกค้า เช่น ส่วนลด แลกซื้อของรางวัล
Popeyes ควรจัดโปรโมชั่นและกิจกรรมที่เน้นความคุ้มค่า ตอบโจทย์ลูกค้า
4. พัฒนาระบบการสั่งซื้อและบริการ:
Burger King ควรพัฒนาระบบการสั่งซื้อออนไลน์ให้สะดวก รวดเร็ว
Popeyes ควรพัฒนาระบบบริการให้รวดเร็ว ทันใจ
5. มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ของลูกค้า:
Burger King ควรสร้างบรรยากาศร้านอาหารให้ดึงดูดใจ
Popeyes ควรฝึกอบรมพนักงานให้บริการลูกค้าอย่างดีเยี่ยม
6. วิเคราะห์คู่แข่งและปรับกลยุทธ์:
Burger King ควรวิเคราะห์กลยุทธ์ของ McDonald's และ Wendy's
Popeyes ควรวิเคราะห์กลยุทธ์ของ KFC
7. ปรับภาพลักษณ์แบรนด์:
Burger King ควรปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ทันสมัย
Popeyes ควรปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้เป็นที่จดจำ
8. ขยายฐานลูกค้า:
Burger King ควรขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ ๆ
Popeyes ควรขยายฐานลูกค้าไปยังต่างประเทศ
9. ติดตามผลและปรับกลยุทธ์:
Burger King ควรติดตามผลการดำเนินกลยุทธ์
Popeyes ควรติดตามผลการดำเนินกลยุทธ์
อย่างไรก็ตาม การกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมจะต้องพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ เช่น กลุ่มเป้าหมาย สถานการณ์ตลาด และทรัพยากรที่มี
การผสมผสานกลยุทธ์เหล่านี้ จะช่วยดึงดูดลูกค้า เพิ่มยอดขาย และกู้คืนส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับ Burger King และ Popeyes ในไตรมาสที่ 4 | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56864 | Retail | กลยุทธ์การผนึกกำลังของเซ็นทรัลและโรบินสัน มุ่งเน้นไปที่ด้านใดบ้าง? | บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (CRC) ประกาศแผนยุทธศาสตร์ผนึกกำลังห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและโรบินสัน สู่การเป็นห้างสรรพสินค้าออมนิแชนแนลแห่งแรกของไทย มุ่งยกระดับห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ และเพิ่มความหลากหลายของแบรนด์สินค้า พร้อมขยายธุรกิจให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าชาวไทย ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพการบริการด้วยทีมงานระดับมืออาชีพ
เพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทลให้เดินหน้าไปอย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืน นิโคโล กาลันเต้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด
(มหาชน) กล่าวว่า เป็นเวลาหลายทศวรรษที่เซ็นทรัลและโรบินสันเป็นผู้นำธุรกิจห้างสรรพสินค้า และไลฟ์สไตล์มอลล์ของไทยในการนำเสนอสินค้า บริการและนวัตกรรมใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดห้างสรรพสินค้าแห่งแรก ภายใต้แบรนด์เซ็นทรัล หรือการเปิดไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งแรก ภายใต้แบรนด์โรบินสัน และเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเป็นรีเทลแห่งอนาคต CRC จึงตัดสินใจทางยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญ ในการผนึกกำลังเซ็นทรัลและโรบินสันให้เกิดความคล่องตัวในการขับเคลื่อนองค์กร รวมถึงเสริมความแข็งแกร่งด้านแพลตฟอร์มออมนิแชนแนลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อจุดประสงค์หลักในการพัฒนาสู่การเป็นห้างสรรพสินค้าออมนิแชนแนลแห่งแรกในไทย ปัจจุบัน เซ็นทรัลและโรบินสันครองอันดับที่ 1 และ 2 ในธุรกิจค้าปลีกไลฟ์สไตล์ของประเทศไทย ครอบคลุมสินค้ากลุ่มแฟชั่น ความงาม และของใช้ในบ้าน เป็นต้น มีสาขาทั้งหมดรวม 74 แห่งทั่วประเทศ และในแต่ละปีเซ็นทรัล และโรบินสัน มีลูกค้าที่เข้ามา ใช้บริการมากกว่า 5 ล้านราย ทำให้เรายังเล็งเห็นศักยภาพของธุรกิจ และเดินหน้าแผนการขยายสาขาใหม่ 2-5 สาขาต่อปี อีกทั้งยุทธศาสตร์ในครั้งนี้ยังเป็นการรวมทีมงานระดับแนวหน้าของค้าปลีก ร่วมขับเคลื่อนธุรกิจ พร้อมพัฒนาทักษะพนักงานให้สามารถสร้างประสบการณ์ออมนิแชแนลที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า อย่างครบวงจร “การทรานส์ฟอร์มของเราในครั้งนี้ ถือเป็นการตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหาความรวดเร็ว ความสะดวกสบาย รวมถึงการบริการที่ทันท่วงทีจากหน้าร้าน ทำให้แพลตฟอร์มออมนิแชนแนลเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เห็นได้จากความสำเร็จของแคมเปญ 9.9 Central Retail Double Mega Sale (9.9 เซ็นทรัล รีเทล ดับเบิ้ล เมกา เซลล์) ที่ผ่านมา ด้วยตัวเลขยอดขายที่เพิ่มขึ้นกว่า 200% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และด้วยยุทธศาสตร์ใหม่นี้จะทำให้เราครองความเป็นที่หนึ่งทั้งออฟไลน์และออนไลน์ภายใน ปี 2565 และนำพาเซ็นทรัล รีเทล ให้เติบโตไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืน พร้อมทั้งยกระดับธุรกิจค้าปลีกของไทย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่คนไทยทุกคน” นิโคโล กล่าวปิดท้าย | กลยุทธ์การผนึกกำลังของเซ็นทรัลและโรบินสัน มุ่งเน้นไปที่ 5 ด้านหลัก ดังนี้
1. เพิ่มความคล่องตัวในการขับเคลื่อนองค์กร
-การรวมพลังของ 2 แบรนด์ชั้นนำ ช่วยให้สามารถบริหารจัดการทรัพยากร บุคลากร และสินทรัพย์ที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-ลดขั้นตอนและระเบียบการทำงานที่ซ้ำซ้อน
-เพิ่มความรวดเร็วในการตัดสินใจ
-รองรับการขยายธุรกิจในอนาคต
2. เสริมความแข็งแกร่งด้านแพลตฟอร์มออมนิแชนแนล
-พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ให้เชื่อมต่อกันอย่างราบรื่น
-ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชั่น หน้าร้าน
-นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตรงกับความต้องการของลูกค้า
-มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวก รวดเร็ว และประทับใจ
3. พัฒนาสู่การเป็นห้างสรรพสินค้าออมนิแชนแนลแห่งแรกของไทย
-ผสานจุดแข็งของทั้งสองแบรนด์
-นำเสนอสินค้าและบริการที่ครบครัน
-ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม
-สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
-เป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกยุคใหม่
4. ขยายธุรกิจให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
-เพิ่มจำนวนสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ
-เข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ
-ขยายฐานลูกค้า
-เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
-สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
5. ยกระดับการบริการด้วยทีมงานระดับมืออาชีพ
-พัฒนาทักษะและความรู้ของพนักงาน
-มอบบริการที่เป็นเลิศ
-สร้างความประทับใจให้กับลูกค้า
-รักษาฐานลูกค้าเก่า
-ดึงดูดลูกค้าใหม่
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
-เป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกยุคใหม่
-มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
-เพิ่มยอดขายและกำไร
-ขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
-สร้างการจ้างงาน
-ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
ตัวอย่างกลยุทธ์ที่เป็นไปได้
-พัฒนาแอปพลิเคชั่นมือถือที่เชื่อมต่อกับหน้าร้าน
-นำเสนอสินค้าใหม่ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ก่อนวางจำหน่ายหน้าร้าน
-เปิดให้บริการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และรับสินค้าที่หน้าร้าน
-จัดโปรโมชั่นและกิจกรรมพิเศษเฉพาะช่องทางออนไลน์
-ฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้เกี่ยวกับสินค้าและบริการบนช่องทางออนไลน์
สรุป
กลยุทธ์การผนึกกำลังของเซ็นทรัลและโรบินสัน มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาองค์กรให้มีความคล่องตัว เสริมสร้างแพลตฟอร์มออมนิแชนแนล พัฒนาสู่การเป็นห้างสรรพสินค้าออมนิแชนแนลแห่งแรก ขยายธุรกิจให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และยกระดับการบริการด้วยทีมงานระดับมืออาชีพ กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้ CRC บรรลุเป้าหมายในการเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกยุคใหม่ มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56868 | Retail | ร้านค้าปลีกควรใช้เครื่องพิมพ์ Epson EcoTank แทนเครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบดั้งเดิมหรือไม่? | null | ใช่ เหตุผลคือ
- ประหยัดค่าใช้จ่าย: เครื่องพิมพ์ Epson EcoTank มาพร้อมตลับหมึกพิมพ์ที่จุหมึกได้มาก ช่วยให้พิมพ์ใบเสร็จได้หลายพันใบโดยไม่ต้องเติมหมึกบ่อย ต่างจากเครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบดั้งเดิมที่ต้องเปลี่ยนตลับหมึกบ่อย ส่งผลให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
- ลดขยะ: เครื่องพิมพ์ Epson EcoTank ช่วยลดขยะพลาสติกจากตลับหมึกพิมพ์ เมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบดั้งเดิมที่ต้องเปลี่ยนตลับหมึกบ่อย
- พิมพ์ได้รวดเร็ว: เครื่องพิมพ์ Epson EcoTank มีความเร็วในการพิมพ์สูง ช่วยให้พิมพ์ใบเสร็จได้รวดเร็วทันใจลูกค้า เหมาะกับร้านค้าที่มีลูกค้าหนาแน่น
- ใช้งานง่าย: เครื่องพิมพ์ Epson EcoTank ใช้งานง่าย เพียงเติมหมึกเมื่อจำเป็น โดยไม่ต้องวุ่นวายกับการเปลี่ยนตลับหมึก
- มีฟีเจอร์ที่หลากหลาย: เครื่องพิมพ์ Epson EcoTank บางรุ่นมีฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น การพิมพ์แบบไร้สาย การพิมพ์หน้าจอสัมผัส และการพิมพ์สองหน้า ช่วยให้ใช้งานได้สะดวกและหลากหลาย
ตัวอย่างการคำนวณ:
- ร้านค้า A ขายสินค้าเฉลี่ย 100 ชิ้นต่อวัน ใช้เครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบดั้งเดิม ตลับหมึกพิมพ์ 1 ตลับพิมพ์ได้ 200 ใบ ต้องเปลี่ยนตลับหมึกทุกๆ 2 วัน
ค่าตลับหมึกพิมพ์ 200 บาท
ต้นทุนการพิมพ์ต่อใบ = 200 / 200 = 1 บาท
หากเปลี่ยนมาใช้เครื่องพิมพ์ Epson EcoTank ราคา 10,000 บาท ตลับหมึกพิมพ์ราคา 2,000 บาท พิมพ์ได้ 7,500 ใบ
ต้นทุนการพิมพ์ต่อใบ = (10,000 + 2,000) / 7,500 = 1.6 บาท
สรุป:
- ร้านค้า A ประหยัดค่าใช้จ่าย 0.4 บาทต่อใบเสร็จ
- ประหยัดค่าใช้จ่าย 40 บาทต่อวัน
- ประหยัดค่าใช้จ่าย 14,600 บาทต่อปี
ข้อควรพิจารณา:
- ราคาเริ่มต้นของเครื่องพิมพ์ Epson EcoTank สูงกว่าเครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบดั้งเดิม
- ร้านค้าที่มีปริมาณการพิมพ์น้อย อาจจะยังไม่คุ้มค่ากับการลงทุน
โดยสรุปแล้ว ร้านค้าปลีกควรพิจารณาปริมาณการพิมพ์ งบประมาณ และฟีเจอร์ที่ต้องการ ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องพิมพ์ Epson EcoTank | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56869 | Retail | อะไรคือกลยุทธ์หลักของ PointX ในการขับเคลื่อนธุรกิจ Retail ในอนาคต? | null | PointX มุ่งเน้นกลยุทธ์หลัก 5 ประการ ในการขับเคลื่อนธุรกิจ Retail ในอนาคต ดังนี้
1. มุ่งเน้น Customer Centric:
ศึกษาความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ผ่าน Big Data และ Customer Insight
พัฒนาแพลตฟอร์ม PointX ให้ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว และตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
นำเสนอโปรโมชันและสิทธิประโยชน์ที่ตรงใจลูกค้าแต่ละกลุ่ม
2. ขยายพันธมิตรทางธุรกิจ:
ร่วมมือกับร้านค้าและแบรนด์ชั้นนำในหลากหลายประเภทธุรกิจ
ขยายเครือข่ายการใช้ PointX ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์
พัฒนา Ecosystem ของ PointX ให้เป็น platform
3. พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม:
นำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาพัฒนาแพลตฟอร์ม PointX
มอบประสบการณ์การใช้ PointX ที่ราบรื่น ปลอดภัย และไร้รอยต่อ
พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ บนแพลตฟอร์ม PointX เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
4. เน้น Sustainability:
ส่งเสริมการใช้ PointX ในการแลกสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
สนับสนุนธุรกิจ Social Enterprise บนแพลตฟอร์ม PointX
ร่วมรณรงค์ลดใช้พลาสติกและกระดาษผ่านการใช้ PointX
5. ขยายธุรกิจ PointX ไปยังต่างประเทศ:
มองหาโอกาสในการขยายธุรกิจ PointX ไปยังประเทศในภูมิภาค
ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในต่างประเทศ
นำเสนอ PointX ในฐานะแพลตฟอร์มสะสมพอยท์ระดับโลก
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้กลยุทธ์:
PointX ร่วมมือกับ "เดอะมอลล์ กรุ๊ป" ลูกค้าสามารถใช้ PointX สแกนจ่ายแทนเงินสด
PointX เปิดตัวฟีเจอร์ "PointX Rewards" แลกคะแนน PointX กับสินค้าและบริการพิเศษ
PointX ร่วมกับ "SCB Planet" มอบคะแนน PointX พิเศษจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต SCB
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง:
เป็นแพลตฟอร์มสะสมพอยท์อันดับ 1 ของประเทศไทย
ขยายฐานลูกค้าและเพิ่มจำนวนผู้ใช้งาน PointX
เพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าและแบรนด์ที่ร่วมเป็นพันธมิตร
เป็นแพลตฟอร์มที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
อธิบายเพิ่มเติม:
กลยุทธ์หลัก 5 ประการ ของ PointX มุ่งเน้นตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล เน้นความหลากหลาย ครบครัน สะดวกสบาย ผสานกับเทคโนโลยี และความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ Retail ของ PointX ให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
PointX ตั้งเป้าเป็น "แพลตฟอร์มสะสมพอยท์ที่ดีที่สุด" กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้ PointX บรรลุเป้าหมายและสร้างประสบการณ์การใช้ PointX ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
ตัวอย่างเพิ่มเติม:
PointX พัฒนาฟีเจอร์ "PointX Pay" ชำระค่าสินค้าและบริการออนไลน์
PointX ร่วมมือกับ "Grab" แลกคะแนน PointX กับ GrabRewards
PointX เปิดตัว "PointX Mall" แหล่งช้อปปิ้งออนไลน์ที่รวบรวมสินค้าจากร้านค้าชั้นนำ | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56878 | Retail | การเปิดตัวโครงการเซ็นทรัล ศรีราชา จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกในศรีราชาหรือไม่? | null | ใช่ เหตุผลคือ
1. กลยุทธ์ The New District:
- โครงการเซ็นทรัล ศรีราชา ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพใจกลางเมือง
- เป็นโครงการมิกซ์ยูสที่ครบครันที่สุดและใหญ่ที่สุดแห่งแรกในภาคตะวันออก
- ประกอบด้วยศูนย์การค้า โรงแรม ที่อยู่อาศัย และคอนเวนชั่นฮอลล์
- ช่วยสร้างย่านธุรกิจใหม่ ตอบโจทย์ Expanded Community
- รองรับการขยายตัวของเมืองศรีราชา
2. กลยุทธ์ The Future of Retail:
- เน้น Hygiene & Safety
- ใช้ระบบ Smart & Healthy Building
- อัพเกรดระบบปรับอากาศ กรองอากาศ
- ติดตั้ง UVC Lamp
- ตรวจวัดคุณภาพอากาศ
- รองรับเทรนด์ New Normal
3. กลยุทธ์ The Innovation Oasis:
- นำเสนอประสบการณ์ใหม่
- ผสมผสานเทคโนโลยี ธรรมชาติ และไลฟ์สไตล์
- ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย
4. การขยายฐานลูกค้า:
- ดึงดูดลูกค้าจากต่างพื้นที่
- รองรับนักลงทุนและนักท่องเที่ยว
- กระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น
5. การพัฒนาธุรกิจค้าปลีก:
- ยกระดับมาตรฐานธุรกิจค้าปลีก
- กระตุ้นการแข่งขัน
- นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย
- ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
ตัวอย่างผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก:
- การขยายสาขา
- การพัฒนาเทคโนโลยี
- การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น
- การยกระดับมาตรฐาน
โดยสรุป โครงการเซ็นทรัล ศรีราชา น่าจะมีผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกในศรีราชา มากกว่าผลเสีย
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม เช่น สภาพเศรษฐกิจ การแข่งขันจากธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ ฯลฯ | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56882 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....ความสำคัญของ "การสืบทอดเจตนารมณ์" ธุรกิจครอบครัวจะประสบความสำเร็จ | null | ม่านสีทอง: ตำนานบทใหม่ของอาณาจักรค้าปลีก
ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร แสงไฟสว่างไสวจากตึกสูงระฟ้า สะท้อนภาพความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวง บนชั้นดาดฟ้าของตึกนั้น ชายหนุ่มนามว่า "ธันวา" กำลังจ้องมองไปยังทิวทัศน์เบื้องล่าง ในใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและความตื่นเต้น
ธันวาเป็นทายาทรุ่นที่สามของตระกูล "จิรธิวัฒน์" ผู้ก่อตั้งอาณาจักรค้าปลีกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ธุรกิจของครอบครัวเขาเติบโตจากร้านขายของชำเล็ก ๆ สู่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ศูนย์การค้า และร้านค้าปลีกมากมายทั่วประเทศ
ในวันนี้ ธันวาต้องเผชิญกับภารกิจสำคัญ นั่นคือการนำบริษัท "เซ็นทรัล รีเทล" เข้าตลาดหลักทรัพย์ เป็นการเปิดประตูสู่โลกกว้าง และเป็นการทดสอบความสามารถของเขาในฐานะผู้นำรุ่นต่อไป
ธันวาครุ่นคิดถึงอดต ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เขายังเป็นเด็ก เขาชอบเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าของครอบครัว ชื่นชมความคึกคัก ผู้คนมากมาย สินค้าหลากหลาย มันเป็นโลกที่เต็มไปด้วยสีสันและความมหัศจรรย์
เขาเติบโตมากับเสียงสอนของปู่ "ทศ จิราธิวัฒน์" ผู้ก่อตั้งอาณาจักรนี้ ปู่สอนเขาเสมอว่า ธุรกิจค้าปลีกไม่ใช่แค่การขายสินค้า แต่เป็นการสร้างประสบการณ์และความสุขให้กับลูกค้า
"ลูกค้าคือหัวใจของธุรกิจ" ปู่ทศเคยพูดประโยคนี้กับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ธันวายึดมั่นในคำสอนของปู่ เขาตั้งปณิธานที่จะสานต่อเจตนารมณ์ของครอบครัว พัฒนาธุรกิจค้าปลีกให้เจริญรุ่งเรือง และสร้างรอยยิ้มให้กับผู้คน
หลายปีผ่านไป ธันวาเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ เขาทำงานในทุกแผนกของธุรกิจ เรียนรู้กลยุทธ์ เข้าใจปัญหา และสัมผัสความท้าทาย
ในที่สุด วันนี้ก็มาถึง วันที่เขาพร้อมแล้วที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ ธันวาลุกขึ้นจากเก้าอี้ มุ่งหน้าไปยังห้องประชุม ที่นั่น เหล่าผู้บริหารระดับสูงของเซ็นทรัล รีเทล กำลังรอเขาอยู่ บนใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ธันวาเริ่มต้นการประชุม เขาอธิบายถึงแผนการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เป้าหมาย กลยุทธ์ และอนาคตของธุรกิจ เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ แววตาของเขาฉายแววมุ่งมั่น
"นี่คือจุดเริ่มต้นของบทใหม่ของอาณาจักรค้าปลีกของเรา" ธันวากล่าว "เราจะสร้างตำนานบทใหม่ ม่านสีทองแห่งนี้จะส่องประกายไปทั่วโลก ผู้บริหารทุกคนปรบมือให้กับธันวา พวกเขาพร้อมแล้วที่จะร่วมเดินทางไปกับเขา สู่เส้นทางแห่งความสำเร็จ
หนึ่งเดือนต่อมา หุ้นของเซ็นทรัล รีเทล เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนต่างให้ความสนใจ ธันวาและทีมของเขายิ้มอย่างภูมิใจ
หนึ่งปีต่อมา เซ็นทรัล รีเทล ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ธันวากลายเป็นผู้นำที่ได้รับการยกย่อง
ห้าปีต่อมา อาณาจักรค้าปลีกของครอบครัวจิราธิวัฒน์ เติบโตขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ธันวาได้รับรางวัลมากมาย เขากลายเป็นบุคคลตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56886 | Retail | การปิดร้านค้าของ Nike และ IKEA ในรัสเซีย จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกในแง่มุมใดบ้าง? | Nike ประกาศปิดร้านค้าทั้งหมดในรัสเซียชั่วคราว
และ IKEA ประกาศปิดร้านค้า หยุดการนำเข้า-ส่งออกสินค้า ทั้งในรัสเซียและเบลารุส เช่นกัน
หลังรัสเซียยังคงบุกเข้าโจมตียูเครนอย่างต่อเนื่อง สำหรับ Nike ได้ประกาศว่า จะปิดร้านค้าทั้งหมดในรัสเซียชั่วคราว โดยอ้างถึงความท้าทายที่เพิ่มขึ้นในการจัดการธุรกิจ ถึงแม้ว่าจะมีการปิดร้านค้า แต่ Nike บอกว่า จะยังสนับสนุนพนักงานโดยจ่ายเงินเดือนตามปกติต่อไป
ซึ่งตามเว็บไซต์ของบริษัท พบว่า Nike มีร้านค้าอยู่ราว 116 ร้านที่ตั้งอยู่ในรัสเซีย ประกาศของ Nike ส่วนหนึ่งระบุว่า “เรารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งกับวิกฤตการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นในยูเครน
ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อทุกคน ไม่ว่าจะเป็น พนักงาน หุ้นส่วน หรือครอบครัวของพวกเขาที่อยู่ในประเทศนี้” ก่อนหน้านี้ Nike ได้ประกาศปิดการขายบนเว็บไซต์ในรัสเซียไปก่อนแล้ว
โดยจะขึ้นข้อความแจ้งว่า ไม่สามารถจัดส่งสินค้าสำหรับคำสั่งซื้อทางออนไลน์ได้ รวมถึง Nike จะบริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 32.6 ล้านบาท) ให้กับ Unicef และ องค์กรการกุศลเอกชนระหว่างประเทศ เพื่อบรรเทาทุกข์ และสนับสนุนด้านมนุษยธรรมในยูเครน ขณะที่ IKEA จากการประกาศปิดดังกล่าว ก็ส่งผลให้ประชาชนชาวรัสเซียจำนวนมาก แห่เข้าไปซื้อสินค้าใน IKEA ก่อนที่จะไม่มีโอกาสอีกในช่วงนี้ โดยในการปิดครั้งนี้ ยังได้ส่งผลกระทบต่อพนักงานทันทีกว่า 15,000 คน
แต่ IKEA บอกว่า พนักงานทุกคนจะได้รับค่าจ้างเป็นเงินรูเบิลรัสเซีย เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือนล่วงหน้า ส่วนสาเหตุที่ปิดร้านค้า IKEA ได้อ้างว่า “สงครามที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อมนุษย์ และส่งผลให้ซัปพลายเชนเกิดการหยุดชะงัก จึงเป็นสาเหตุให้บริษัทตัดสินใจหยุดการดำเนินงานในรัสเซียชั่วคราว” อย่างไรก็ตาม แบรนด์ Mega ของ IKEA ที่มีร้านค้ากว่า 14 ทั่วรัสเซีย จะยังเปิดให้ดำเนินการตามปกติ นอกจากนี้ IKEA ยังเป็นบริษัทแรก ๆ ที่ประกาศปิดร้านค้าในเบลารุสด้วย
ซึ่งสาเหตุก็เพราะบริษัทมองว่า เบลารุสเป็นประเทศที่เป็นทางผ่าน และมีชายแดนติดกันระหว่างรัสเซีย และยูเครน จึงอาจมีความไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นกับพนักงานได้ ทั้ง Nike และ IKEA เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบริษัทยักษ์ใหญ่โลก ที่ทยอยประกาศมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย
ยังมีทั้ง Boeing ผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ ที่จะระงับการส่งชิ้นส่วนเครื่องบินให้สายการบินรัสเซีย
และ Maersk บริษัทขนส่งระดับโลก ที่ประกาศระงับการส่งตู้คอนเทนเนอร์ให้กับรัสเซีย เช่นกัน อ้างอิง: | การปิดร้านค้าของ Nike และ IKEA ในรัสเซีย จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกในหลายแง่มุม ดังนี้:
1. ผลกระทบต่อยอดขาย:
- Nike และ IKEA เป็นแบรนด์ค้าปลีกที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมสูงในรัสเซีย
การปิดร้านค้าจะส่งผลต่อยอดขายของทั้งสองแบรนด์อย่างมีนัยสำคัญ
- ธุรกิจค้าปลีกอื่น ๆ ในรัสเซียอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการปิดร้านค้าของ Nike และ IKEA
- ผู้บริโภคชาวรัสเซียอาจมีตัวเลือกในการซื้อสินค้าที่จำกัดลง
2. ผลกระทบต่อพนักงาน:
- Nike และ IKEA มีพนักงานในรัสเซียมารวมกันกว่า 26,000 คน
- การปิดร้านค้าจะส่งผลให้พนักงานเหล่านี้ต้องตกงาน
พนักงานที่ได้รับผลกระทบอาจต้องหางานใหม่และอาจเผชิญกับความยากลำบาก
ภาวะว่างงานในรัสเซียอาจเพิ่มสูงขึ้น
3. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ:
- การปิดร้านค้าของ Nike และ IKEA จะส่งผลต่อเศรษฐกิจของรัสเซีย
GDP ของรัสเซียอาจหดตัวลง
- รัฐบาลรัสเซียอาจสูญเสียรายได้จากภาษี
- ผู้บริโภคชาวรัสเซียอาจมีกำลังซื้อลดลง
4. ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจ:
- Nike และ IKEA เป็นแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ระดับโลก
การปิดร้านค้าในรัสเซียอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของทั้งสองแบรนด์
- ผู้บริโภคในประเทศอื่น ๆ อาจมองแบรนด์ Nike และ IKEA ในแง่ลบมากขึ้น
5. ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน:
- Nike และ IKEA มีซัพพลายเออร์ในรัสเซีย
- การปิดร้านค้าจะส่งผลต่อซัพพลายเออร์เหล่านี้
- ซัพพลายเออร์อาจต้องหาลูกค้าใหม่
- ธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานของ Nike และ IKEA อาจได้รับผลกระทบ
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของการปิดร้านค้าของ Nike และ IKEA ในรัสเซีย ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูต่อไป
ปัจจัยหลายประการ เช่น สถานการณ์ทางการเมืองในรัสเซีย ระยะเวลาที่ร้านค้าปิด และกลยุทธ์ของ Nike และ IKEA ในอนาคต จะส่งผลต่อผลกระทบโดยรวม | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56887 | Retail | กลยุทธ์การเพิ่มพื้นที่และจุดขายของพีพี กรุ๊ป เน้นการขยายสาขาแบบ Permanent Store มากกว่า Pop-Up Store หรือไม่? | null | ไม่ เหตุผล:
1. พีพี กรุ๊ป ให้ความสำคัญกับทั้ง Permanent Store และ Pop-Up Store:
- กลยุทธ์ของพีพี กรุ๊ป เน้นการเพิ่มพื้นที่และจุดขายเพื่อตอบรับความต้องการและแนวโน้มของตลาด
- บริษัทมีแผนขยายทั้ง Permanent Store และ Pop-Up Store
- การขยายสาขาแบบใดจะมากกว่ากัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น แบรนด์ สินค้า กลยุทธ์ และสถานที่
2. Pop-Up Store มีข้อดีหลายประการ:
- ช่วยให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่
- ทดสอบตลาดก่อนตัดสินใจลงทุนเปิด Permanent Store
- สร้างประสบการณ์พิเศษให้กับลูกค้า
- กระตุ้นยอดขาย
3. ตัวอย่างการใช้ Pop-Up Store ของพีพี กรุ๊ป:
- แบรนด์ Casetify เคยเปิด Pop-Up Store ที่ Siam Paragon
- แบรนด์ Gentle Monster เคยเปิด Pop-Up Store ที่ CentralWorld
4. พีพี กรุ๊ป มีประสบการณ์ในการบริหารทั้ง Permanent Store และ Pop-Up Store:
- บริษัทมี Permanent Store มากกว่า 20 แห่ง
- บริษัทมีประสบการณ์ในการจัดการ Pop-Up Store
5. แนวโน้มของตลาด:
- ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการซื้อที่หลากหลาย
- ช่องทางออนไลน์มีบทบาทสำคัญมากขึ้น
สรุป:
กลยุทธ์การเพิ่มพื้นที่และจุดขายของพีพี กรุ๊ป เน้นทั้ง Permanent Store และ Pop-Up Store
การขยายสาขาแบบใดจะมากกว่ากัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ บริษัทมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการบริหารทั้ง Permanent Store และ Pop-Up Store | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56891 | Retail | “ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ และห้างสรรพสินค้าโรบินสัน บ้านฉาง” จะสามารถรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาวได้อย่างไร | null | “ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ และห้างสรรพสินค้าโรบินสัน บ้านฉาง” จะสามารถรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาวได้ จำเป็นต้อง:
1. พัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า
ศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าในพื้นที่อย่างละเอียด
นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ครบครัน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
พัฒนาสินค้าและบริการใหม่ ๆ อยู่เสมอ
มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีและน่าประทับใจ
2. มุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและโปรโมชั่นพิเศษอย่างสม่ำเสมอ
มอบสิทธิพิเศษและรางวัลตอบแทนลูกค้า
พัฒนาระบบสมาชิก CRM เพื่อ 관리ความสัมพันธ์กับลูกค้า
สร้างกิจกรรม CSR เพื่อคืนกำไรสู่ชุมชน
3. พัฒนาช่องทางการขายออนไลน์
พัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชันสำหรับการช้อปปิ้งออนไลน์
นำเสนอสินค้าและบริการผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย
มอบบริการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็วและสะดวก
4. รักษาความสะอาด ปลอดภัย และได้มาตรฐาน
รักษาความสะอาดของสถานที่อย่างสม่ำเสมอ
ดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรคติดต่ออย่างเคร่งครัด
สร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าว่าสามารถช้อปปิ้งได้อย่างปลอดภัย
5. พัฒนาเทคโนโลยี
นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวกและรวดเร็ว
พัฒนาระบบการชำระเงินออนไลน์ที่ปลอดภัย
ตัวอย่าง:
ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ บ้านฉาง นำเสนอโซน FoodPark ที่รวบรวมร้านอาหารดังในท้องถิ่น
ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน บ้านฉาง จัดกิจกรรมเวิร์คชอป DIY สอนทำของขวัญจากวัสดุธรรมชาติ
ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ บ้านฉาง พัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับการช้อปปิ้งออนไลน์
ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน บ้านฉาง ติดตั้งระบบกล้องวงจรปิด CCTV ทั่วทั้งศูนย์การค้า
อย่างไรก็ตาม “ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ และห้างสรรพสินค้าโรบินสัน บ้านฉาง” ยังมีอุปสรรคหลายประการ เช่น
การแข่งขันจากห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าอื่น ๆ
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค
สภาวะเศรษฐกิจ
แนวทางเพิ่มเติม:
ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ และห้างสรรพสินค้าโรบินสัน บ้านฉาง ควรพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ
พัฒนาความสัมพันธ์กับพันธมิตรทางธุรกิจ
ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
สรุป: “ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ และห้างสรรพสินค้าโรบินสัน บ้านฉาง” จะสามารถรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว จำเป็นต้องพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า มุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า พัฒนาช่องทางการขายออนไลน์ รักษาความสะอาด ปลอดภัย และได้มาตรฐาน พัฒนาเทคโนโลยี และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56892 | Retail | กลยุทธ์ NFT ของห้างเซ็นทรัลจะช่วยยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้าในยุคดิจิทัลได้อย่างไรบ้าง? | null | กลยุทธ์ NFT ของห้างเซ็นทรัลมีศักยภาพที่จะยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้าในยุคดิจิทัลได้หลายประการ ดังนี้:
1. เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า: NFT สามารถดึงดูดลูกค้าให้เข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์เซ็นทรัลมากขึ้น ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การสะสม การแลก และการลุ้นรางวัล สิ่งนี้จะช่วยสร้างความผูกพันระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ และกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
2. มอบประสบการณ์ที่พิเศษและเฉพาะตัว: NFT แต่ละชิ้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่สามารถทำซ้ำได้ การมอบ NFT แก่ลูกค้า จะช่วยให้พวกเขารู้สึกพิเศษและได้รับประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร
3. สร้างชุมชน: NFT สามารถช่วยสร้างชุมชนของลูกค้าเซ็นทรัล ผู้ที่ครอบครอง NFT คอลเลกชันพิเศษนี้สามารถเชื่อมต่อ แลกเปลี่ยน และแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกัน
4. ขยายช่องทางการเข้าถึงลูกค้า: NFT สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีดิจิทัล
5. เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้: NFT สามารถนำมาขายต่อหรือประมูลได้ สิ่งนี้จะช่วยสร้างโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับห้างเซ็นทรัล
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ NFT ของห้างเซ็นทรัล:
นำเสนอ NFT ที่เป็นคอลเลกชันพิเศษ: เช่น NFT ของสินค้า limited edition หรือ NFT ของสินค้าที่ระลึกในโอกาสพิเศษ
ใช้ NFT เป็นบัตรสมาชิก: มอบสิทธิพิเศษและส่วนลดแก่ผู้ถือ NFT
ใช้ NFT เป็นคูปองส่วนลด: มอบส่วนลดสำหรับสินค้าหรือบริการต่างๆ
ใช้ NFT เป็นของรางวัล: มอบ NFT แก่ลูกค้าที่ชนะกิจกรรมหรือโปรโมชั่นต่างๆ
ข้อควรพิจารณา:
การเข้าถึง: จำเป็นต้องทำให้ NFT เข้าถึงได้ง่ายสำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม
การใช้งาน: จำเป็นต้องออกแบบระบบการใช้งาน NFT ที่สะดวกและง่ายต่อการใช้งาน
ความยั่งยืน: จำเป็นต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของ NFT
โดยสรุป กลยุทธ์ NFT ของห้างเซ็นทรัลมีศักยภาพที่จะยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้าในยุคดิจิทัลได้ สิ่งสำคัญคือต้องออกแบบกลยุทธ์ที่เหมาะสม พิจารณาถึงความต้องการของลูกค้า และใช้งานเทคโนโลยี NFT อย่างมีประสิทธิภาพ | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56913 | Retail | แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ShopDD มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจ Retail หรือไม่? | null | มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จ เหตุผล คือ
ปัจจัยสนับสนุน
-การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ: ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดจะขยายตัวเฉลี่ย 20% ต่อปี
-ความต้องการสินค้าสำหรับธุรกิจขนส่ง: ธุรกิจขนส่งพัสดุมีการขยายตัวตามธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เกิดความต้องการสินค้าสำหรับธุรกิจขนส่ง เช่น กล่องพัสดุ บรรจุภัณฑ์
-ความร่วมมือกับ SABUY SPEED: ShopDD ร่วมมือกับ SABUY SPEED ซึ่งมีเครือข่ายร้านกว่า 19,000 แห่งทั่วประเทศ ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้
-สินค้าราคาประหยัด: ShopDD เน้นจำหน่ายสินค้าในราคาประหยัด ช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนส่งสามารถควบคุมต้นทุนได้
-บริการจัดส่ง: ShopDD บริการจัดส่งสินค้าให้ถึงหน้าร้าน ช่วยให้ผู้ประกอบการสะดวก
-แผนขยายกลุ่มสินค้า: ShopDD มีแผนขยายกลุ่มสินค้าให้หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้ประกอบการ
ปัจจัยคุกคาม
-การแข่งขัน: มีผู้ประกอบการรายอื่นที่จำหน่ายสินค้าสำหรับธุรกิจขนส่ง
-การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี: เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อาจจะส่งผลต่อรูปแบบการจำหน่ายสินค้า
-พฤติกรรมของลูกค้า: พฤติกรรมของลูกค้าอาจจะเปลี่ยนแปลง
สรุป
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ShopDD มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจ Retail แต่ก็มีความเสี่ยงอยู่ด้วยเช่นกัน
คำแนะนำ
-ShopDD ควรพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า
-ShopDD ควรติดตามเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ
-ShopDD ควรศึกษาพฤติกรรมของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56914 | Retail | Amazon เตรียมปิดหน้าร้าน ทั้งร้านขายหนังสือ ขายสินค้า รวม 68 แห่งทั่วสหรัฐ และอังกฤษ จริงหรือไม่ | null | จริง Amazon บริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ประกาศแผนปิดหน้าร้านสาขากว่า 68 แห่ง ทั่วทั้งในสหรัฐ และอังกฤษ ซึ่งมีทั้งร้านหนังสือ, ป็อบอัปสโตร์ (Pop Up Store) ร้านขายสินค้าตระกูล Kindle และ Amazon-4 Star ที่ขายเฉพาะสินค้าที่ได้รับความนิยมบนโลกออนไลน์
โดยบางร้าน เป็นการปิดหลังจากที่ดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนาน Amazon บอกว่า จะหันไปโฟกัสกับธุรกิจขายของชำแบบไร้แคชเชียร์ และสินค้าแฟชั่น ที่เพิ่งเปิดหน้าร้าน ที่มีชื่อว่า Amazon Style ในลอสแอนเจลิส ของสหรัฐฯ แทน ทั้งนี้ แต่ละร้านจะแจ้งเตือนลูกค้าอีกครั้งว่า จะปิดในวันไหน เนื่องจากแต่ละร้าน แต่ละสถานที่ มีวันและเวลาในการปิดที่แตกต่างกัน
ส่วนพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการปิดร้าน บริษัทกำลังหางานในตำแหน่งอื่น ๆ หรืออาจเสนอการชดเชยอื่น ๆ แทน สำหรับการตัดสินใจปิดธุรกิจหน้าร้านจำนวนมาก ก็เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทเผชิญกับท้าทายมากขึ้น จากการระบาดของโควิด 19 ที่ทำให้ผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น และเข้าร้านค้าที่มีหน้าร้านจริง ๆ น้อยลงนั่นเอง แม้ว่าการประกอบธุรกิจหน้าร้าน จะเป็นส่วนเล็ก ๆ ของธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ของ Amazon แต่ในช่วงที่ผ่านมา ก็สร้างรายได้ให้กับ Amazon ไม่น้อย โดยบริษัทรายงานว่า ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว
ธุรกิจที่มีหน้าร้าน สร้างรายได้ให้บริษัทถึง 4,680 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 152,500 ล้านบาท) สำหรับ Amazon ได้เริ่มต้นธุรกิจด้วยการขายหนังสือออนไลน์ ซึ่งได้มีการเปิดร้านหนังสือจริง ๆ ครั้งแรกในปี 2015 ที่เมืองซีแอตเทิล สหรัฐฯ จากนั้นก็เริ่มขยายร้านหนังสืออย่างต่อเนื่อง ทั่วทั้งสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น รัฐแอริโซนา, รัฐแคลิฟอร์เนีย, รัฐโคโลราโด, รัฐอิลลินอยส์, นิวยอร์ก และรัฐวอชิงตัน รวมถึงในต่างประเทศด้วย | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56915 | Retail | สรุปบทความเรื่อง MUJI เปิดร้านขายสินค้าทุกอย่างต่ำกว่า 500 เยน ให้หน่อย | MUJI ร้านขายสินค้าและของใช้ในสไตล์มินิมัลสัญชาติญี่ปุ่น ได้เปิดร้านขายสินค้าในแนวคิดใหม่
รวมสินค้าที่ขายในราคาต่ำกว่า 500 เยน (ราว 128 บาท) เป็นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น ณ บริเวณสถานีรถไฟมิทากะ กรุงโตเกียว เป็นที่ทราบกันดีว่าสินค้าในร้าน MUJI หลาย ๆ ชิ้น แม้จะดูมินิมัล สวยงาม และน่าใช้
แต่กลับมีราคาสูง จนผู้บริโภคหลายคนต้องหันไปหาสินค้าจากแบรนด์อื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกันแทน แต่จุดอ่อนข้อนี้ของ MUJI กำลังจะถูกแก้ไข เพราะที่ประเทศญี่ปุ่น MUJI ตัดสินใจเปิดร้านในแนวคิดใหม่ ที่ขายสินค้าราคา 500 เยน หรือต่ำกว่า เป็นครั้งแรก สำหรับสินค้าภายในร้าน ที่มีราคาต่ำกว่า 500 เยนนี้ คิดเป็นสัดส่วน 70% ของสินค้าทั้งหมด เทียบกับร้าน MUJI เดิม จะมีสินค้าราคาต่ำกว่า 500 เยน เพียง 30% เท่านั้น ซึ่งมีทั้งอาหาร ของใช้ภายในบ้าน อุปกรณ์ทำความสะอาด เครื่องเขียน เครื่องครัว รวมถึงเสื้อผ้า และกระดาษชำระ ก็มีจำหน่ายเช่นเดียวกัน รวมแล้วทั้งสิ้นกว่า 3,000 รายการ ส่วนสินค้าอีก 30% ที่เหลือ จะเป็นสินค้าที่มีราคามากกว่า 500 เยน ขึ้นไป เช่น เครื่องสำอาง สกินแคร์ และอุปกรณ์จัดเก็บสิ่งของ โมเดลธุรกิจใหม่ของ MUJI นี้จะช่วยให้ MUJI สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่น ที่ต้องการซื้อสินค้า MUJI สำหรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ง่ายมากขึ้น ด้วยราคาที่ถูกลง โดย MUJI ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะขยายสาขาโมเดลใหม่นี้ ให้ครบ 30 แห่ง ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 พร้อมกับพัฒนาความหลากหลายของสินค้าที่มีราคาตำ่กว่า 500 เยน ให้มากขึ้นอีกด้วย อ้างอิง :
-https://www.timeout.com/tokyo/news/muji-opens-a-new-500-yen-store-in-tokyo-100522
-https://www.retailnews.asia/muji-launches-under-500-yen-store-concept/ | MUJI ร้านขายสินค้าและของใช้ในสไตล์มินิมัล เปิดร้านขายสินค้า รวมสินค้าราคาต่ำกว่า 500 เยน ที่สถานีรถไฟมิทากะ กรุงโตเกียว ซึ่งปกติสินค้ามีราคาสูง จึงตัดสินใจเปิดร้านในแนวคิดใหม่ ที่ขายสินค้าราคา 500 เยน เป็นครั้งแรก จำนวน 70% ของสินค้าทั้งหมดในร้าน มีทั้งอาหาร ของใช้ภายในบ้าน อุปกรณ์ทำความสะอาด เครื่องเขียน เครื่องครัว รวมถึงเสื้อผ้า และกระดาษชำระ ก็มีจำหน่ายเช่นเดียวกัน รวมแล้วทั้งสิ้นกว่า 3,000 รายการ โดย MUJI ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะขยายสาขาโมเดลใหม่นี้ ให้ครบ 30 แห่ง ภายในปี 2023 | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56919 | Retail | กลยุทธ์ของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและโรบินสัน เน้นการขยายสาขาแบบ Permanent Store มากกว่า Pop-Up Store หรือไม่? | null | ใช่ 1. แผนปรับปรุงและขยายสาขา:
กลยุทธ์ 6 ประการของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและโรบินสัน มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงและขยายสาขา
แผนการลงทุน 5 พันล้านบาท มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงสาขาปัจจุบัน
มีการเปิดตัวสาขาใหม่ 2 แห่ง
ไม่ได้มีการพูดถึง Pop-Up Store
2. การลงทุนใน Permanent Store:
การลงทุนปรับปรุงและขยายสาขา แสดงถึงการมุ่งเน้นไปที่ Permanent Store
การลงทุนใน Permanent Store
ใช้เงินลงทุนสูง
ใช้เวลานาน
แสดงถึงความมุ่งมั่นระยะยาว
3. เป้าหมายในการเป็นห้างแห่งอนาคต:
การมุ่งเน้นไปที่ Permanent Store สอดคล้องกับเป้าหมายในการเป็นห้างแห่งอนาคต
Permanent Store
ควบคุมภาพลักษณ์และประสบการณ์ของลูกค้าได้ดีกว่า
รองรับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ดีกว่า
4. บทบาทของ Pop-Up Store:
Pop-Up Store
ใช้สำหรับทดสอบตลาด
สร้างประสบการณ์พิเศษ
ไม่ใช่กลยุทธ์หลัก
5. แนวโน้มของตลาด:
ผู้บริโภคยังคงนิยมการช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้า
ห้างสรรพสินค้า Permanent Store
ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้หลากหลาย
สร้างความมั่นใจและน่าเชื่อถือ
สรุป:
กลยุทธ์ของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและโรบินสัน เน้นการขยายสาขาแบบ Permanent Store มากกว่า Pop-Up Store
Permanent Store
สอดคล้องกับเป้าหมายและกลยุทธ์ของบริษัท
ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
รองรับแนวโน้มของตลาด | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56922 | Retail | อะไรคือกลยุทธ์ Customer-Centric Omni-Channel ของ CRC และทำไมกลยุทธ์นี้จึงสำคัญต่อธุรกิจค้าปลีกในยุคปัจจุบัน? | null | กลยุทธ์ Customer-Centric Omni-Channel ของ CRC มุ่งเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่นและไร้รอยต่อสำหรับลูกค้า โดยผนวกจุดเด่นจากช่องทางการขายทั้งออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน กลยุทธ์นี้ประกอบด้วยองค์ประกอบหลักๆ ดังนี้:
1. การผสานช่องทางการขาย: ลูกค้าสามารถเริ่มช้อปปิ้งทางออนไลน์และไปชำระเงินที่หน้าร้าน หรือสามารถเลือกซื้อสินค้าที่หน้าร้านและสั่งจัดส่งสินค้าออนไลน์ได้
2. ข้อมูลลูกค้า: CRC เก็บข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางการขาย นำมาวิเคราะห์เพื่อเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า
3. การนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ: CRC นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน โดยใช้ข้อมูลลูกค้าที่เก็บรวบรวมไว้
4. การให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร: ลูกค้าสามารถติดต่อ CRC ได้ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น เว็บไซต์ แชทบอท โซเชียลมีเดีย และศูนย์บริการลูกค้า
ความสำคัญของกลยุทธ์ Customer-Centric Omni-Channel:
ตอบสนองความต้องการของลูกค้า: ลูกค้าในปัจจุบันต้องการความสะดวกสบายและความยืดหยุ่นในการช้อปปิ้ง กลยุทธ์ Omni-Channel ช่วยให้ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านช่องทางที่สะดวกที่สุดสำหรับพวกเขา
เพิ่มยอดขาย: กลยุทธ์ Omni-Channel ช่วยให้ CRC เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น และช่วยให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้มากขึ้น
สร้างความภักดีของลูกค้า: กลยุทธ์ Omni-Channel ช่วยให้ CRC มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ personalized แก่ลูกค้า ซึ่งช่วยสร้างความภักดีต่อแบรนด์
ตัวอย่างการประสบความสำเร็จของกลยุทธ์ Omni-Channel ของ CRC:
แคมเปญ 11.11 และ 12.12 mega sale ในปี 2562 ของ CRC สร้างยอดขายเพิ่มขึ้นจากปี 2561 ถึง 2 เท่า ซึ่งช่องทาง Omni-Channel มีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จของแคมเปญนี้
CRC มีจำนวนผู้ใช้งานแอปพลิเคชั่น Central Retail มากกว่า 10 ล้านคน สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมในช่องทาง Omni-Channel ของ CRC
สรุป:
กลยุทธ์ Customer-Centric Omni-Channel เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับธุรกิจค้าปลีกในยุคปัจจุบัน กลยุทธ์นี้ช่วยให้ CRC ตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพิ่มยอดขาย และสร้างความภักดีของลูกค้า
เพิ่มเติม:
กลยุทธ์ Omni-Channel ของ CRC ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่มีการพัฒนาอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น CRC กำลังพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้ดีขึ้นและนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น
กลยุทธ์ Omni-Channel ของ CRC ประสบความสำเร็จ | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56924 | Retail | การร่วมทุนระหว่าง OR และ ดุสิต ฟู้ดส์ จะช่วยขยายฐานลูกค้าของ OR ในธุรกิจค้าปลีกได้หรือไม่? | null | ใช่ เหตุผล:
-OR มีเครือข่าย Retail Platform ที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยสถานีบริการ PTT Station เกือบ 2,500 แห่ง และคาเฟ่ อเมซอน อีกกว่า 4,000 สาขา ซึ่งสามารถเข้าถึงไลฟ์สไตล์ของผู้คนและกระจายอยู่ในชุมชนต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ
-ดุสิต ฟู้ดส์ มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจอาหาร ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ถึงปลายน้ำ มีทั้งธุรกิจรับจัดเลี้ยง ร้านอาหาร และผลิตภัณฑ์อาหาร
ความร่วมมือกันจะช่วยสร้างแพลตฟอร์มด้านอาหาร ที่สามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร OR และ ดุสิต ฟู้ดส์ มีเป้าหมายร่วมกัน ในการขยายธุรกิจอาหารทั้งในและต่างประเทศ
ตัวอย่างการขยายฐานลูกค้า:
-นำเสนออาหารพร้อมทาน ผ่านร้านค้าปลีกของ OR เช่น ร้านสะดวกซื้อ Jiffy หรือร้าน Max Mart
จำหน่ายสินค้าอาหาร ของ ดุสิต ฟู้ดส์ ผ่านช่องทางจำหน่ายของ OR เช่น ร้านค้าปลีก คาเฟ่ อเมซอน หรือสถานีบริการ PTT Station
-นำเสนอบริการจัดเลี้ยง ผ่าน ดุสิต ฟู้ดส์ สำหรับงานต่างๆ เช่น งานประชุม งานเลี้ยงสังสรรค์ หรืองานอีเวนต์
-พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ สำหรับสั่งซื้ออาหารและบริการจัดส่ง
โดยสรุป
การร่วมทุนระหว่าง OR และ ดุสิต ฟู้ดส์ มีโอกาสสูงที่จะช่วยขยายฐานลูกค้าของ OR ในธุรกิจค้าปลีก
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม เช่น
-การแข่งขันในธุรกิจค้าปลีก
-ความพึงพอใจของลูกค้า
-กลยุทธ์การตลาด
ดังนั้น OR และ ดุสิต ฟู้ดส์ จะต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสร้างความแตกต่างในตลาด | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56930 | Retail | ช่วยสรุปเรื่อง CENTRAL PATTANA X AIRLINE BOARDING PASS PRIVILEGES ได้ไหม | บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส, แอปพลิเคชัน คริสพลัส และแอปพลิเคชั่น เพลาโก้ โดยสายการบินสิงคโปร์ แอร์ไลน์, สายการบินไทย, สายการบินไทยสไมล์, สายการบินเวียตเจ็ท แอร์, สายการบินนกแอร์, สายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานฮ่องกง, สายการบิน ฮ่องกง เอ็กเพลส แอร์เวย์และสายการบินแอร์อินเดียจัดแคมเปญ “CENTRAL PATTANA X AIRLINE BOARDING PASS P RIVILEGES” สำหรับลูกค้าที่ถือบัตรโดยสารสายการบินที่ร่วมรายการตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2566 ณ ศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัลพัฒนา 15 สาขาที่ร่วมรายการ ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัล พระราม 9, เซ็นทรัล วิลเลจ, อยุธยา, พัทยา, มารีนา, ศรีราชา, จันทบุรี, อุดรธานี, เชียงราย, เชียงใหม่ แอร์พอร์ต, เชียงใหม่, ภูเก็ต, หาดใหญ่ และสมุย เพียงแสดงบัตรที่นั่ง รับ 3 สิทธิพิเศษได้แก่1. Central Pattana Welcome Package อาทิ วอชเชอร์ส่วนลดจากร้านค้าที่ร่วมรายการมูลค่าสูงสุด5,000 บาท จากห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, Tops Market, Central Food Hall และ TOPS Online2. รับคูปองฟรีเมนูอาหารไทยต้นตำรับ เมื่อช้อปสินค้าในศูนย์การค้าฯ ครบ 3,000 บาท 3. สิทธิพิเศษในเข้าใช้บริการ The Exclusive Lounge 1 ครั้ง สำหรับ 2 ท่าน ณ The Exclusive Lounge เฉพาะสาขาเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลวิลเลจ และสาขาเซ็นทรัล ภูเก็ต สำหรับลูกค้าที่ถือบัตรสมาชิกสายการบินที่ร่วมรายการ ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “จากสถิติของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ช่วง 9 เดือนแรก ม.ค.-ต.ค.65 นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศทะลุ 7 ล้านคนตามที่คาดการณ์ไว้ มีความเป็นไปได้สูงว่าประเทศไทยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติถึงเป้าหมาย 10 ล้านคนในปีนี้ และคาดการณ์ว่าช่วงไตรมาส 4 ตั้งแต่เดือน ต.ค.- ธ.ค.นี้ จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย 1.5 ล้านคนต่อเดือน เซ็นทรัลพัฒนาได้จัดแคมเปญเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายร่วมกับสายการบินชั้นนำระดับโลก และพันธมิตร ในการมอบสิทธิพิเศษระหว่างการท่องเที่ยวพักผ่อนให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุด พร้อมเตรียม Festive events ยิ่งใหญ่ต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกในช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองนี้ อาทิ Light Up Christmas Tree Celebration 2023 สัญลักษณ์การเริ่มต้นเทศกาลความสุขของไทย, Countdown 2023 ที่เซ็นทรัลเวิลด์Time square of Asia แลนด์มาร์คงานเคาท์ดาวน์ระดับโลก และอีเว้นท์อื่นๆ ที่จะจัดขึ้นในพื้นที่ศูนย์การค้าฯ ในทุกภูมิภาค เพื่อสนับเสริมการท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจและเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็น Landmark การท่องเที่ยวในทุกเทศกาลตอกย้ำบทบาทการเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมโยง Retail & Tourism Ecosystem เข้าด้วยกัน เพื่อเติมเต็มการท่องเที่ยวทั้งระบบ ตามวิสัยทัศน์อันแข็งแกร่งของภาครัฐ ” แคมเปญ “CENTRAL PATTANA X AIRLINE BOARDING PASS PRIVILEGES” จะมีขึ้นตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2566 ตรวจสอบรายละเอียดการรับสิทธิ์และเงื่อนไขแคมเปญได้ที่ เคาน์เตอร์แลกรับของสมนาคุณที่ศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัลพัฒนา 15 สาขาทั่วประเทศ | บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ร่วมกับสายการบินต่าง ๆ จัดแคมเปญ “CENTRAL PATTANA X AIRLINE BOARDING PASS PRIVILEGES” สำหรับลูกค้าที่ถือบัตรโดยสารสายการบินที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มีนาคม 2566 ณ ศูนย์การค้าในเครือ 15 สาขา โดยลูกค้าสามารถแสดงบัตรโดยสารเพื่อรับสิทธิพิเศษ 3 รายการ ได้แก่:
1.Central Pattana Welcome Package วอสเชอร์ส่วนลดสูงสุด 5,000 บาทจากร้านค้าที่ร่วมรายการ
2.คูปองอาหารไทยฟรีเมื่อช้อปครบ 3,000 บาท
3.สิทธิ์เข้าใช้บริการ The Exclusive Lounge 1 ครั้ง สำหรับ 2 ท่าน
ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กล่าวว่าแคมเปญนี้มีเป้าหมายกระตุ้นการจับจ่ายในช่วงที่นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 10 ล้านคนในปีนี้ พร้อมเตรียมจัดกิจกรรม Festive เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศไทย ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่เคาน์เตอร์แลกรับของสมนาคุณในศูนย์การค้าทั่วประเทศ | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56934 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....การผนึกกำลังระหว่างแบรนด์ไทยดีไซเนอร์และแพลตฟอร์มออนไลน์ที่แข็งแกร่ง สามารถช่วยให้แบรนด์ไทยเติบโตขึ้น | null | บทเพลงแห่งแฟชั่น
“คุณแก้มคะ คอลเลคชั่นล่าสุดของเราได้รับการตอบรับดีมากเลยค่ะ ยอดขายออนไลน์พุ่งสูงขึ้น!” น้ำเสียงตื่นเต้นของฝ่ายขายดังก้องผ่านสายโทรศัพท์
“ดีใจด้วยนะ แต่มันก็ไม่น่าแปลกใจอะไรเลย คอลเลคชั่นนี้สวยมาก ดีไซน์ล้ำสมัย เหมาะกับยุคสมัยนี้สุดๆ” แก้ม มัลลิกา เรืองกฤตยา ดีไซเนอร์และผู้ก่อตั้งแบรนด์ KLOSET ตอบกลับอย่างอารมณ์ดี
หลังจากคลี่คลายสถานการณ์โควิด-19 โลกของแฟชั่นก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ผู้คนเริ่มออกจากบ้าน แต่งตัวสวยงาม และช้อปปิ้งกันมากขึ้น แบรนด์ KLOSET เองก็ไม่พลาดโอกาสนี้ แก้มตัดสินใจนำแบรนด์เข้าร่วมกับ M ONLINE แพลตฟอร์มออนไลน์ของเดอะมอลล์กรุ๊ป
“ตอนแรกเราก็ลังเลนะ กลัวว่าลูกค้าจะไม่มั่นใจกับการซื้อเสื้อผ้าออนไลน์ แต่พอได้ลองทำดู ผลตอบรับดีเกินคาดเลย ลูกค้าสะดวกมาก ช้อปได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องเดินทางไปห้างฯ” แก้มเล่าถึงประสบการณ์
ความสำเร็จของ KLOSET บน M ONLINE สะท้อนให้เห็นถึงพลังของการผนึกกำลังระหว่างแบรนด์ไทยดีไซเนอร์และแพลตฟอร์มออนไลน์ที่แข็งแกร่ง M ONLINE นำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และน่าเชื่อถือ ช่วยให้แบรนด์ไทยดีไซเนอร์สามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น
“เราดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ M ONLINE แพลตฟอร์มนี้ช่วยให้แบรนด์ของเราเติบโตขึ้นมาก เราหวังว่าจะได้ร่วมงานกันต่อไปในอนาคต” แก้มกล่าว | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56940 | Retail | โครงการ Landmark By Siamese Asset มีกลยุทธ์อย่างไรในการดึงดูดลูกค้าในโซน Retail? | null | โครงการ Landmark By Siamese Asset มีกลยุทธ์ในการดึงดูดลูกค้าในโซน Retail ดังนี้:
1. เน้นการนำเสนอบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหนือระดับ:
- ร้านค้าและร้านอาหารในโครงการล้วนเป็นแบรนด์ชั้นนำและได้รับความนิยม
- ออกแบบพื้นที่ให้มีความสะดวกสบาย สวยงาม และน่าเดิน
- มีบริการ Concierge ที่คอยให้ความช่วยเหลือลูกค้า
- มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน
2. มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ของลูกค้า:
- จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและโปรโมชั่นอย่างสม่ำเสมอ
- มีพื้นที่สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจและกิจกรรมต่างๆ
- นำเสนอบริการพิเศษต่างๆ เช่น บริการรับจอดรถ บริการส่งของ
3. เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย:
- เลือกแบรนด์และร้านค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าในย่านนั้น
- นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
- จัดกิจกรรมและโปรโมชั่นที่ตรงใจลูกค้า
4. สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง:
- นำเสนอบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่เหมือนใคร
- ออกแบบพื้นที่ให้มีความโดดเด่นและน่าสนใจ
- นำเสนอบรรยากาศและประสบการณ์ที่แตกต่าง
ตัวอย่าง:
- โซน Retail ของโครงการ Landmark @ Grand Station By Siamese Asset ตั้งอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู (สถานีวงแหวนตะวันออก) และตรงข้าม Fashion Island
- ทางโครงการมีบริการ Concierge ที่คอยให้ความช่วยเหลือลูกค้า
- โครงการมีพื้นที่สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ เช่น สวนสาธารณะ พื้นที่สำหรับเด็กเล่น
- โครงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและโปรโมชั่นอย่างสม่ำเสมอ
- โครงการมีบริการพิเศษต่างๆ เช่น บริการรับจอดรถ บริการส่งของ
ผลลัพธ์:
- โครงการ Landmark By Siamese Asset ดึงดูดลูกค้าในโซน Retail ได้เป็นจำนวนมาก
- ลูกค้ามีความพึงพอใจกับบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ
- โครงการสามารถสร้างรายได้จากโซน Retail ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
สรุป:
โครงการ Landmark By Siamese Asset มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการดึงดูดลูกค้าในโซน Retail โดยเน้นการนำเสนอบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหนือระดับ มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ของลูกค้า เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง กลยุทธ์เหล่านี้ทำให้โครงการ Landmark By Siamese Asset ประสบความสำเร็จในการดึงดูดลูกค้าและสร้างรายได้จากโซน Retail | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56964 | Retail | โมเดลธุรกิจแพลตฟอร์มใหม่ "WHO Service" ของ TOA มีโอกาสและอุปสรรค์อะไรบ้าง และจะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกของ TOA อย่างไร | null | โอกาส
1. การขยายฐานลูกค้า
โมเดลธุรกิจ "WHO Service" ช่วยให้ TOA เข้าถึงลูกค้าใหม่ กลุ่มเจ้าของบ้านที่ต้องการหาช่างผู้รับเหมา
2. การเพิ่มรายได้
โมเดลธุรกิจ "WHO Service" ช่วยให้ TOA เพิ่มรายได้จากค่าบริการ
3. การสร้าง Synergy กับธุรกิจหลัก
โมเดลธุรกิจ "WHO Service" ช่วยให้ TOA ส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์สีและวัสดุก่อสร้าง
อุปสรรค์
1. การแข่งขันสูง ธุรกิจบริการงานช่างมีการแข่งขันสูง
2. การควบคุมคุณภาพ TOA ต้องควบคุมคุณภาพงานของช่างผู้รับเหมา
3. การสร้างการรับรู้ TOA ต้องสร้างการรับรู้เกี่ยวกับโมเดลธุรกิจใหม่
ผลต่อธุรกิจค้าปลีกของ TOA
-การพัฒนาธุรกิจค้าปลีกแบบ Omni-channel: โมเดลธุรกิจ "WHO Service" ช่วยให้ TOA พัฒนาธุรกิจค้าปลีกแบบ Omni-channel
-การนำเสนอโซลูชั่นแบบครบวงจร: โมเดลธุรกิจ "WHO Service" ช่วยให้ TOA นำเสนอโซลูชั่นแบบครบวงจร
-การสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดี: โมเดลธุรกิจ "WHO Service" ช่วยให้ TOA สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดี
โดยสรุป
โมเดลธุรกิจแพลตฟอร์มใหม่ "WHO Service" ของ TOA มีโอกาสและอุปสรรค์ แต่โดยรวมแล้ว ถือเป็นโมเดลธุรกิจที่มีศักยภาพสูง และจะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกของ TOA | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56976 | Retail | เขียนแนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง "เข้าใจไลฟ์สไตล์: การบริการระดับพรีเมียมของเซ็นทรัล รีเทล สู่การเป็นท็อปส์ในฟู้ดรีเทล" | null | แนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับเซ็นทรัล รีเทลและท็อปส์ ในฐานะเป็นผู้นำในธุรกิจฟู้ดรีเทลในไทยและเวียดนามอาจประกอบด้วยหลายปัจจัยดังนี้
1. สถานที่ตั้งที่ดี : เซ็นทรัล รีเทลมักจะตั้งอยู่ในสถานที่ที่สะดวกสบายและทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยที่มักจะอยู่ในพื้นที่ที่มีความคับแคบ และมีการจราจรเพียงพอ
2. การบริการที่มีคุณภาพ : การบริการที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการให้คำแนะนำเกี่ยวกับสินค้า การบริการหลังการขาย หรือการจัดโปรโมชั่น
3. การเลือกซื้อที่หลากหลาย : การมีสินค้าและบริการที่หลากหลายเป็นจุดเด่นของท็อปส์และเซ็นทรัล รีเทล เพราะลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าหรือบริการตามความต้องการและความสะดวก
4. การสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดี : การสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่น่าทึ่งและน่าจดจำสำหรับลูกค้า เช่น การจัดโปรโมชั่นพิเศษ เคาน์เตอร์ทดลองสินค้า หรือกิจกรรมพิเศษที่เกี่ยวข้องกับวันเทศกาลหรือเหตุการณ์พิเศษ
5. การใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพ : เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการร้านค้า การใช้ระบบ POS (Point of Sale) ที่ทันสมัย เพื่อช่วยในการบันทึกข้อมูลการขายและการจัดการสินค้า รวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลสินค้าและโปรโมชั่นได้อย่างง่ายดาย
6. ความยั่งยืนในการพัฒนา : การพัฒนาและปรับปรุงตลอดเวลาเพื่อตอบสนองความต้องการและรูปแบบการช้อปปิ้งของลูกค้า รวมถึงการใช้วิสัยทัศน์ในการนำธุรกิจไปสู่ระดับใหม่โดยการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ทันสมัยและน่าสนใจ
7. ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม : การมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ เช่น การใช้วัสดุที่มีการตีเสถียรภาพ การลดการใช้พลาสติก หรือการสนับสนุนโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนท้องถิ่น
การเน้นที่ปัจจัยเหล่านี้อาจช่วยให้เซ็นทรัล รีเทลและท็อปส์เป็นผู้นำในธุรกิจฟู้ดรีเทลในภูมิภาคได้เป็นอย่างดี และยังเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจในการเรียนรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการธุรกิจในยุคสมัยปัจจุบันและอนาคต | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56978 | Retail | ช่วยสรุปบทความ เอ. เอส. วัตสัน ทุ่ม 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พลิกโฉม Supply Chain ส่งเสริมกลยุทธ์ O+O และเพิ่มขีดศักยภาพในการแข่งขัน | เอ. เอส. วัตสัน กรุ๊ป ในฐานะกลุ่มบริษัทที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมค้าปลีกในเอเชีย และเคยได้รับ 8 รางวัลระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น รางวัล Health & Beauty Retailer of the Year - Asia Award และ รางวัล Omnichannel Strategy of the Year Asia Award จากเวทีระดับภูมิภาค Retail Asia โดยมี วัตสัน เป็นแบรนด์ระดับเรือธงของกลุ่มบริษัทซึ่งได้รับการโหวตให้เป็นแบรนด์ร้านเภสัช/ร้านขายยาอันดับ 1 ของเอเชียเป็นปีที่ 13 ติดต่อกัน จาก Campaign Asia และในปีที่ผ่านมา WeChat แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ในตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ ยังได้จัดให้ เอ. เอส. วัตสัน กรุ๊ป เป็นบริษัทที่มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง หรือ Digital Transformation Pioneer Company อีกด้วย นอกจากนี้ จากผลการปฏิบัติงานล่าสุดของ CK Hutchison ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ เอ. เอส. วัตสัน กรุ๊ป และยังเป็นผู้ค้าปลีกด้านสุขภาพและความงามรายใหญ่ที่สุดของโลก พบว่า บริษัทมีรายรับเพิ่มขึ้น 22% และ 13% จากการดำเนินงานในเอเชียและยุโรป ตามลำดับ แล้วอะไรคือปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังที่ทำให้ เอ. เอส. วัตสัน สามารถรับมือกับความท้าทายด้านวิกฤตการณ์โรคระบาดในธุรกิจค้าปลีกในช่วงสองปีที่ผ่านมาและยังคงยืนหยัดในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมการค้าปลีกอยู่ได้?
พัฒนาบุคคลเพื่อรับมือกับความท้าทาย
คุณมาลิน่า ไหง ประธานกรรมการบริหารของ เอ.เอส. วัตสัน (เอเชียและยุโรป) กล่าวสะท้อนถึงบทเรียนสำคัญที่ได้เรียนรู้ว่า “ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีคู่มือช่วยให้คำแนะนำใดๆ ในการจัดการกับความท้าทายต่างๆ ในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 แต่เราโชคดีที่เรามีบุคคลากรและลูกค้าของเรา ตลอดจนกลยุทธ์ O+O ที่เราได้พัฒนาขึ้น คอยให้การสนับสนุน ซึ่งเราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งในช่วงวิกฤตการณ์ดังกล่าว”
“เรายังเชื่อมั่นในการแสดงความรักและความห่วงใยต่อผู้คน โดยในปัจจุบันเรามีพนักงาน 130,000 คนทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ทำงานอยู่หน้าร้าน และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ดำเนินมากว่า 30 เดือนที่ผ่านมา เราสามารถพูดได้เต็มปากว่า
เราได้ให้ความสำคัญและความทุ่มเทในเรื่องสุขภาพและความปลอดภัย การสื่อสารเชิงรุก และให้ความมั่นคงทางการเงิน แก่พนักงานของเรามาโดยตลอด แม้แต่ในช่วงเวลาที่ตลาดต้องถูกปิดลง ซึ่งเราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยให้บุคลากรของเรามีความเข้มแข็งในการต่อสู้กับวิกฤตการณ์โรคระบาดดังกล่าว”
และในฐานะส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของบริษัทในการให้ความสำคัญในเรื่องบุคคลท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น เอ. เอส. วัตสัน ยังคงมุ่งมั่นเพื่อส่งเสริมความหลากหลาย รวมถึงทำความเข้าใจความต้องการของผู้หญิงให้มากขึ้น
เพื่อยกระดับวิถีชีวิตของบุคลากรตลอดจนลูกค้าของเรา นอกจากนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทยังได้ประกาศแผนการสร้างงาน 200,000 ตำแหน่งทั่วโลกภายในปี พ.ศ. 2573 ซึ่งจะช่วยให้เยาวชนได้รับประสบการณ์อันมีค่าเพื่อพัฒนาอาชีพในธุรกิจด้านการค้าปลีกต่อไป
การลงทุน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อปฎิรูป Supply Chain ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
เอ. เอส. วัตสัน กรุ๊ป เดินหน้าพัฒนาสู่ความเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลมาตั้งแต่ในปี พ.ศ. 2555 ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปในการซื้อสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม โดยทางกลุ่มบริษัทไม่เพียงแต่ลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล ระบบการค้าปลีก การจัดการข้อมูล (Big Data) เทคโนโลยีคลาวด์(Cloud Technology) และความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์แล้ว แต่ยังมุ่งมั่นพลิกโฉม Supply Chain ด้านการค้าปลีกแบบ O+O ซึ่งยังช่วยให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงสถานการณ์การระบาดอีกด้วย
คุณไหงอธิบายว่า “Supply Chain เป็นหลักสำคัญของเราในการมอบประสบการณ์ชอปปิ้งที่ไร้รอยต่อแบบ O+O ให้แก่ลูกค้าในช่วงการแพร่ระบาด โดยเราได้ปรับรูปแบบการทำงานของพนักงานทั่วโลกอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับคำสั่งซื้อออนไลน์ที่เพิ่ม
มากขึ้นโดยสามารถดำเนินการตามคำสั่งซื้อได้มากกว่า 50% และการเข้ามารับสินค้าได้เกือบ 100% ผ่านเครือข่ายร้านค้า 16,000 แห่งของเรา พร้อมกันนี้ยังมีตัวเลือกที่หลากหลายในการจัดส่งภายใน 30 นาที ซึ่งถือเป็นมาตรฐานการจัดส่งที่เร็วที่สุด”
“ถึงแม้เราไม่สามารถคาดการณ์วิกฤตการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นได้ แต่เรามีวิสัยทัศน์ที่ดำเนินมาตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนในการสร้างธุรกิจให้เป็นแพลตฟอร์ม O+O ที่เชื่อมประสานประสบการณ์ชอปปิ้งแบบไร้รอยต่อ ดังนั้น เราจึงรู้ว่าเราต้องสร้างเครือข่าย Supply Chain ที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลางได้อย่างไร ซึ่งในปัจจุบันเรามีเครือข่ายคลังสินค้าหลักเกือบ 90 แห่ง และเรายังได้ลงทุนเม็ดเงินกว่า 400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เพื่อปฏิรูปการวางแผน การคาดการณ์ความต้องการผ่านเครื่องมือต่างๆ ตลอดจนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการมองเห็นสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์ (Real-Time) การปรับปรุงประสิทธิภาพและความสามารถของ Supply Chain ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจของเรามีความคล่องตัวยิ่งขึ้น และนำมาซึ่งผลตอบแทนที่ดีในช่วงการแพร่ระบาด ตลอดจนช่วยให้ธุรกิจของเราสามารถยืนหยัดอยู่ในตลาดที่เต็มไปด้ายการแข่งขันได้”
ความพึงพอใจของลูกค้า คือ KPI สำคัญสำหรับกลยุทธ์ O+O
ในธุรกิจค้าปลีก ความพึงพอใจของลูกค้ามีความสำคัญแค่ไหน และเราจะมีวิธีวัดสิ่งนี้ได้อย่างไร?
“เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ การวัดผลจากจำนวนลูกค้าที่เข้าสาขาหรือบนออนไลน์ การทำธุรกรรม จำนวนลูกค้าที่ใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยอดขายและผลกำไรอาจเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีสิ่งอื่นที่สำคัญมากกว่า” คุณไหงกล่าวต่อ
“เราทำงานเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและใกล้ชิดกับลูกค้าหลายพันล้านรายที่ซื้อสินค้ากับเราทุกปี โดยในจำนวนนี้ 142 ล้านคนเป็นลูกค้าประจำที่เป็นสมาชิก ซึ่งเราพบว่า พวกเขามักมีความต้องการในสินค้าที่มีความเกี่ยวข้องกับตัวเอง ต้องการ
ความใส่ใจ รวมถึงต้องการสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของพวกเขาอย่างแท้จริง (Personalization) ดังนั้น เราจึงต้องแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเราเข้าใจ ใส่ใจ และต้องการเข้าถึงพวกเขาแน่นแฟ้นมากขึ้น”
“เราจึงไม่จำเป็นต้องใช้นักชอปปริศนา (Mystery shopper) แบบเดิมๆ ในการสำรวจตลาดอีกต่อไป เพราะข้อมูลจากลูกค้าตัวจริงสำคัญกว่า! ในทุกๆ เดือน เราจึงได้ทำการสำรวจข้อมูลลูกค้าในทุกๆ ตลาด ซึ่งเราเรียกข้อมูลเหล่านั้นว่า คะแนนความใส่ใจลูกค้า หรือ Customer Love Score โดยจากข้อมูลในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่า ลูกค้าของเรามีความพึงพอใจต่อประสบการณ์ชอปปิ้งแบบ O+O ของเรา เพิ่มขึ้นจาก 87 คะแนน เป็น 90.5 คะแนน จากคะแนนรวมทั้งสิ้น 100 คะแนน เฉพาะปีที่ผ่านมาเพียงปีเดียว เราได้เสียงตอบรับจากลูกค้ามากกว่า 4 ล้านราย ที่ซื้อสินค้ากับเราทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ ซึ่งในจำนวนนี้ ลูกค้ากว่า 60% ให้คะแนนเราถึง 100 คะแนน ดังนั้น เราจึงได้เพิ่ม Customer Love Score ให้เป็นอีกหนึ่งใน KPI ที่สำคัญในทุกๆ ธุรกิจของเรา ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำเป้าหมายของบริษัทในการสร้างรอยยิ้มให้กับของลูกค้าของเราทั้งในวันนี้สู่วันพรุ่งนี้และในทุกๆ วัน”
เมื่อมองไปข้างหน้า เรายังจะพบว่า การค้าปลีกออนไลน์จะยังคงเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมการชอปของลูกค้าในยุคปัจจุบัน โดยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นยิ่งตอกย้ำว่า ลูกค้ายังคงมีความต้องการในการมีความสัมพันธ์ต่อกันและกัน (human connection) ซึ่งเราจึงจำเป็นต้องปรับปรุงรูปแบบการขายปลีกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่จับต้องได้ มีความเป็นมิตร และสามารถสื่อสารโต้ตอบกับสินค้าได้ (interactive experiences) ในขณะเดียวกันก็ผสานเข้ากับประสบการณ์ชอปปิ้งแบบออนไลน์และดิจิทัลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อมอบประสบการณ์ชอปปิ้งแบบ O+O ให้กับลูกค้า
“ความมุ่งมั่นของ เอ. เอส. วัตสัน ในการส่งเสริมกลยุทธ์แพลตฟอร์ม O+O จะยังคงเป็นจุดแข็งในการดำเนินธุกิจในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและมีความซับซ้อนมากขึ้น เราจะเร่งเปลี่ยนโฉม Supply Chain ของเราเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะในด้านความจุของคลังสินค้า เทคโนโลยีระบบอัตโนมัติต่างๆ ประสิทธิภาพในการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า ตลอดจนการใช้ระบบ AI ในการจัดการสินค้าคงคลัง และการคาดการณ์ความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้ เรายังจะเดินหน้าสร้างความร่วมมือระดับนานาชาติกับบริษัทต่างๆ ที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ และมีความเป็นเลิศในด้าน Supply Chain ต่อไป” | วัตสัน กรุ๊ป เป็นกลุ่มบริษัทที่โด่งดังในอุตสาหกรรมค้าปลีกในเอเชีย ได้รับรางวัลมากมาย เช่น Health & Beauty Retailer of the Year - Asia Award และ Omnichannel Strategy of the Year Asia Award จาก Retail Asia บริษัทยังเป็นแบรนด์ระดับเรือธงที่ถูกโหวตว่าเป็นแบรนด์ร้านเภสัช/ร้านขายยาอันดับ 1 ของเอเชีย เป็นปีที่ 13 ติดต่อกัน
โดย CK Hutchison เป็นบริษัทแม่พันธมิตร นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเป็น Digital Transformation Pioneer Company ในวงการ
อะไรคือปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังที่ทำให้ เอ. เอส. วัตสัน ยังคงยืนหยัดในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมการค้าปลีกอยู่ได้?
พัฒนาบุคคลเพื่อรับมือกับความท้าทาย
ประธานกรรมการบริหารของ เอ.เอส. วัตสัน (เอเชียและยุโรป), คุณมาลิน่า ไหง กล่าวถึงประสบการณ์จัดการความท้าทายในสถานการณ์โควิด-19 และความสำคัญของบุคลากรและลูกค้า รวมทั้งกลยุทธ์ O+O
บริษัทยังเน้นความรักและความห่วงใยต่อผู้คน การให้ความสำคัญในสุขภาพและความปลอดภัย, การสื่อสา, และความมั่นคงทางการเงิน
ยังมุ่งมั่นในการส่งเสริมความหลากหลายและเข้าใจความต้องการของผู้หญิง. ประกาศแผนการสร้างงาน 200,000 ตำแหน่งเพื่อสนับสนุนพัฒนาอาชีพของเยาวชน
การลงทุน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อปฎิรูป Supply Chain ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
เอ. เอส. วัตสัน กรุ๊ป เน้นการพัฒนาดิจิทัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 เพื่อตอบสนองความเปลี่ยนแปลงในการซื้อสินค้าสุขภาพและความงามของลูกค้า โดยลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล ระบบ Big Data, Cloud Technologyและความปลอดภัย
พยายามพลิกโฉม Supply Chain เป็น O+O ในสถานการณ์โรคระบาด
ปรับการทำงานของพนักงาน และเสนอบริการจัดส่งที่รวดเร็ว มีเครือข่ายคลังสินค้ากว่า 90 แห่งและลงทุนมากกว่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อปรับปรุง Supply Chain ให้ Real-Time เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและสามารถยืนหยัดต่อตลาดที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน
ความพึงพอใจของลูกค้า คือ KPI สำคัญสำหรับกลยุทธ์ O+O
บริษัทพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้าที่ซื้อสินค้าทุกปี 142 ล้านคนเป็นสมาชิกและมีความต้องการในสินค้าที่เกี่ยวข้องและต้องการ Personalization
เราไม่ใช่ Mystery Shopper แต่วัดคะแนนความพึงพอใจของลูกค้าด้วย Customer Love Score ข้อมูลทั้งสิ้นแสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจสูงของลูกค้าในประสบการณ์ชอปปิ้ง O+O มุ่งมั่นในการพัฒนา Supply Chain เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ สร้างความร่วมมือระดับนานาชาติในด้าน Supply Chain | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56983 | Retail | 11 SKIES จะใชกลยุทธ์อย่างไรเพื่อดึงดูดลูกค้าในยุคดิจิทัลที่เน้นประสบการณ์ (Experience-driven) และสร้างจุดแข็งให้กับตัวเองเมื่อเทียบกับศูนย์การค้าอื่นๆ ในฮ่องกง? | null | 11 SKIES สามารถใชกลยุทธ์ดังต่อไปนี้เพื่อดึงดูดลูกค้าในยุคดิจิทัลที่เน้นประสบการณ์และสร้างจุดแข็งให้กับตัวเองเมื่อเทียบกับศูนย์การค้าอื่นๆ ในฮ่องกง
1. ผสมผสานประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์ (Omnichannel)
-พัฒนาระบบดิจิทัลที่ช่วยให้นักช้อปสามารถค้นหาร้านค้า สินค้า และข้อมูลต่างๆ ได้อย่างสะดวก
-นำเสนอบริการออนไลน์ เช่น การจองคิว การสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า และบริการจัดส่ง
-จัดกิจกรรมออนไลน์ เช่น ไลฟ์สตรีมมิ่ง เกม และการประกวด เพื่อดึงดูดลูกค้า
2. นำเสนอประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร (Unique Experiences)
-ร่วมมือกับฮ่องกงดิสนีย์แลนด์เพื่อนำเสนอสินค้า ร้านค้า และกิจกรรมพิเศษที่หาไม่ได้ที่ไหน
-พัฒนาพื้นที่ Event Space สำหรับจัดงานต่างๆ เช่น คอนเสิร์ต นิทรรศการ และเวิร์คช็อป
-ดึงดูดแบรนด์และร้านค้าที่นำเสนอสินค้าและบริการที่ไม่เหมือนใคร
3. เน้นการช็อปปิ้งแบบ Personalization
-วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการ
-พัฒนาระบบแนะนำสินค้าส่วนตัว (Personalized Product Recommendation)
-นำเสนอบริการ Personal Shopper
4. มุ่งเน้นไปที่ Sustainability
-ออกแบบพื้นที่และร้านค้าให้ประหยัดพลังงาน
-เลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
-จัดกิจกรรมส่งเสริมความยั่งยืน
5. พัฒนาชุมชน (Community Building)
-จัดกิจกรรมต่างๆ เช่น เวิร์คช็อป คลาสเรียน และกลุ่มพิเศษ
-สนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นและ Startups
-พัฒนาพื้นที่สำหรับการพบปะสังสรรค์
ตัวอย่าง
-11 SKIES สามารถพัฒนาแอปพลิเคชั่นมือถือที่ช่วยให้นักช้อปสามารถค้นหาร้านค้า สินค้า และข้อมูลต่างๆ ได้อย่างสะดวก แอปพลิเคชั่นนี้ยังสามารถใช้เพื่อจองคิว สั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า ชำระเงิน และติดตามสถานะการจัดส่ง
-11 SKIES สามารถจัดพื้นที่ Event Space สำหรับจัดงานต่างๆ เช่น คอนเสิร์ต นิทรรศการ และเวิร์คช็อป งานเหล่านี้สามารถดึงดูดลูกค้าจากกลุ่มต่างๆ
-11 SKIES สามารถร่วมมือกับแบรนด์ท้องถิ่นเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ไม่เหมือนใคร แบรนด์เหล่านี้สามารถช่วยดึงดูดลูกค้าที่มองหาสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
-11 SKIES สามารถออกแบบพื้นที่ให้ประหยัดพลังงาน ตัวอย่างเช่น สามารถใช้แสงธรรมชาติและระบบระบายอากาศแบบธรรมชาติ
-11 SKIES สามารถจัดกิจกรรมส่งเสริมความยั่งยืน ตัวอย่างเช่น สามารถจัดเวิร์คช็อปเกี่ยวกับการรีไซเคิลและการลดปริมาณขยะ
โดยสรุป
11 SKIES สามารถใชกลยุทธ์เหล่านี้เพื่อดึงดูดลูกค้าในยุคดิจิทัลที่เน้นประสบการณ์และสร้างจุดแข็งให้กับตัวเองเมื่อเทียบกับศูนย์การค้าอื่นๆ ในฮ่องกง สิ่งสำคัญคือต้องพัฒนาประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร นำเสนอบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า และสร้างชุมชนที่ยั่งยืน | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56990 | Retail | กลยุทธ์หลักของเซ็นทรัล รีเทล ในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนคืออะไร และกลยุทธ์เหล่านี้จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกของเซ็นทรัล รีเทล อย่างไร | บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เร่งเครื่องเต็มสูบ มั่นใจเศรษฐกิจฟื้นตัวดี ส่งผลให้ยอดขาย Same Store Sales Growth (SSSG) เติบโตเป็น 2 หลัก ทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และอิตาลี เน้นปูพรมขยายธุรกิจครอบคลุมทุกเซกเม้นต์ ทั้งแฟชั่น ฟู้ด ฮาร์ดไลน์ และพร็อพเพอร์ตี้ ทั้งยังเร่งสร้างกลุ่มธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมและครบวงจร พร้อมยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบใหม่เป็น Next-Gen Omni Retail และก้าวสู่การเป็นผู้นำในโลกค้าปลีกแห่งอนาคต นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าวว่า“ เรามั่นใจเดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ CRC Retailligence ที่ได้ประกาศไว้ว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด ล่าสุดยอดขายมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และในเดือนมกราคม 2565 Same Store Sales Growth (SSSG) มีการเติบโตเป็นเลข 2 หลัก ทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และอิตาลี ยอดขายออมนิแชแนลโดยรวม ก็ยังเติบโต 2 หลัก เช่นกัน ถึงแม้ว่าจำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในห้างและร้านค้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่กลุ่มธุรกิจแฟชั่นพลิกกลับมาเติบโตอย่างเห็นได้ชัด สำหรับกลุ่มธุรกิจพร็อพเพอร์ตี้ในประเทศไทยมีจำนวนผู้ใช้บริการในศูนย์การค้าคิดเป็น 85% ของระดับปกติก่อนช่วงการเกิดโควิด 19 และยังรักษาระดับ Occupancy Rate ได้มากกว่า 90% พร้อมเดินหน้าประเดิมเปิดศูนย์การค้า โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ รูปแบบใหม่ สาขา บ้านฉาง จังหวัดระยอง ในวันที่ 3 มีนาคมนี้ และเปิด GO! ไลฟ์สไตล์มอลล์ เมืองหล่าวกาย (Lao Cai) ประเทศเวียดนามในเดือนเมษายน รวมถึงศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เพิ่มอีก 2 แห่ง ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยทั้งหมดเราจะมีศูนย์การค้า 73 แห่ง ภายในสิ้นปี 2565 สำหรับธุรกิจฮาร์ดไลน์จะมีการขยายสาขาไทวัสดุเพิ่มอีก 10 แห่ง โดยจะเปิดสาขาแรกที่จังหวัดชัยภูมิ ในวันที่ 17 มีนาคมนี้ ตอกย้ำการเป็นผู้นำบนแพลตฟอร์มออมนิแชแนลของธุรกิจฮาร์ดไลน์ในไทย เซ็นทรัล รีเทล มีความมั่นใจและยังคงอัดแผนลงทุนเพื่อขยายธุรกิจที่มีอยู่ และเพิ่มธุรกิจใหม่ๆ รวมทั้งมีแผนที่จะร่วมมือกับผู้นำในกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ และเพิ่มแผน Mergers & Acquisitions ทั้งในไทยและเวียดนาม มากขึ้น นอกจากนั้นเรายังคงตั้งเป้าที่จะนำ MEB ผู้นำในธุรกิจ E-Book และเว็บไซต์อ่านนิยายของไทยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปีนี้ โดยเรามุ่งเน้นที่จะนำธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล และพันธมิตรทั้งหมด สู่การเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน ” | กลยุทธ์หลักของเซ็นทรัล รีเทล ในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 4 ประการ ดังนี้
1. ขยายธุรกิจครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์
-เซ็นทรัล รีเทล มุ่งเน้นขยายธุรกิจครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ทั้งแฟชั่น ฟู้ด ฮาร์ดไลน์ และพร็อพเพอร์ตี้
-กลยุทธ์นี้ช่วยให้เซ็นทรัล รีเทล เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และสร้างรายได้จากหลายช่องทาง
-ตัวอย่างเช่น เซ็นทรัล รีเทล ได้ขยายธุรกิจฟู้ดผ่านการเข้าซื้อ Foodpanda
-เซ็นทรัล รีเทล ยังได้ขยายธุรกิจฮาร์ดไลน์ผ่านการเข้าซื้อไทวัสดุ
2. สร้างกลุ่มธุรกิจใหม่
-เซ็นทรัล รีเทล มุ่งเน้นสร้างกลุ่มธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า
-กลยุทธ์นี้ช่วยให้เซ็นทรัล รีเทล เข้าถึงตลาดใหม่ ๆ และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ
-ตัวอย่างเช่น เซ็นทรัล รีเทล ได้เปิดตัว Central Convenience
-เซ็นทรัล รีเทล ยังได้เปิดตัว Tops CLUB
3. ยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบ Next-Gen Omni Retail
-เซ็นทรัล รีเทล มุ่งเน้นยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบ Next-Gen Omni Retail
-กลยุทธ์นี้ช่วยให้เซ็นทรัล รีเทล มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวก รวดเร็ว และครบวงจรให้กับลูกค้า
-ตัวอย่างเช่น เซ็นทรัล รีเทล ได้พัฒนาแอปพลิเคชั่น Central Retail
-เซ็นทรัล รีเทล ยังได้พัฒนาระบบ Click & Collect
4. ร่วมมือกับผู้นำในกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ และเพิ่มแผน Mergers & Acquisitions
-เซ็นทรัล รีเทล มุ่งเน้นร่วมมือกับผู้นำในกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ และเพิ่มแผน Mergers & Acquisitions
-กลยุทธ์นี้ช่วยให้เซ็นทรัล รีเทล ขยายธุรกิจ into new markets and gain access to new technologies and expertise.
-ตัวอย่างเช่น เซ็นทรัล รีเทล ได้ร่วมมือกับ Grab
-เซ็นทรัล รีเทล ยังได้เข้าซื้อกิจการ B2S
ผลของกลยุทธ์เหล่านี้ต่อธุรกิจค้าปลีกของเซ็นทรัล รีเทล
-ยอดขายเพิ่มขึ้น: กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้เซ็นทรัล รีเทล เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และสร้างรายได้จากหลายช่องทาง
-ฐานลูกค้ากว้างขึ้น: กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้เซ็นทรัล รีเทล ขยายฐานลูกค้า และเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ
-ประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น: กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้เซ็นทรัล รีเทล มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวก รวดเร็ว และครบวงจรให้กับลูกค้า
-โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ: กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้เซ็นทรัล รีเทล เข้าถึงตลาดใหม่ ๆ และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ
-การเติบโตอย่างยั่งยืน: กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้เซ็นทรัล รีเทล เติบโตอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_56993 | Retail | คำถาม: กลยุทธ์การตลาดของโออิชิที่จับกลุ่ม Gen M ผ่านแคมเปญ “Oishi x ROV รับยกเซ็ท 5 สกินญี่ปุ่น” ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกของบริษัทอย่างไร? | เจาะกลุ่ม Gen M เอาใจเหล่าเกมเมอร์โดยเฉพาะ นางเจษฎากร โคชส์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า “ในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี โออิชิ กรีนที ในฐานะผู้นำตลาดชาเขียวพร้อมดื่ม ผนึกกำลังกับยักษ์ใหญ่วงการอี-สปอร์ต “การีน่า ออนไลน์” เปิดตัวแคมเปญใหม่ “Oishi x ROV รับยกเซ็ท 5 สกินญี่ปุ่น” รุกตลาด อี-สปอร์ตจัดเต็มเกม ROV ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มาสร้างสรรค์แคมเปญสร้างการรับรู้แบรนด์ขยายไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่Gen-M ให้มากขึ้น พร้อมเปิดตัวพรีเซนเตอร์ “10 หนุ่ม GMM ทีน ไอดอล” นำทีมโดย คริส-พีรวัส และ สิงโต-ปราชญา ตามด้วย ออฟ-จุมพล อดุลกิตติพร, กัน-อรรถพันธ์ พูลสวัสดิ์, เต-ตะวัน วิหครัตน์, นิว-ฐิติภูมิ เตชะอภัยคุณ, นนน-กรภัทร์ เกิดพันธุ์, ชิม่อน-วชิรวิชญ์ เรืองวิวรรธน์, ซิง-หฤษฏ์ ชีวการุณ และ ลี-ฐานัฐพ์ โล่ห์คุณสมบัติ ซึ่งทั้ง 10 หนุ่มยังคงเป็นกระแสและได้รับความสนใจจากกลุ่มวัยรุ่น ช่วยตอกย้ำภาพลักษณ์คนรุ่นใหม่ Gen-M ที่สนใจในเรื่องของเทคโนโลยี มีความเป็นวัยรุ่น สนุกสนาน และทันสมัย ซึ่งจะสามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างตรงจุด พร้อมจัดเต็มสื่อสารการตลาดและสื่อสนับสนุนต่างๆ อย่างครอบคลุม 360 องศา ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อสร้างยอดขายโค้งสุดท้ายปลายปี และเสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์ให้มากยิ่งขึ้น โดยจะจัดงานเปิดตัวแคมเปญ ภายในงาน “Thailand Game Show 2019” พร้อมจัดกิจกรรมมากมาย ตั้งแต่วันที่ 25-27 ตุลาคม 2562 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5” ทั้งนี้ ผลประกอบการธุรกิจเครื่องดื่มของบริษัทในไตรมาสที่ 3 (YTD: ตุลาคม 2561 – มิถุนายน 2562) เติบโตทั้งรายได้และกำไร โดยมีรายได้เติบโตที่ 6.9% ขณะที่กำไรเติบโต 11.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของยอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และการส่งเสริมการขายช่วงฤดูร้อนที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ซึ่งบริษัทสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดชาพร้อมดื่มในประเทศได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 45.3% (ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม 2562 จาก Nielsen Retail Index) เหล่าเกมเมอร์ร่วมสนุกง่ายๆ เพียงแกะฉลากพลิกหารหัสโออิชิ สะสม 2 รหัสโออิชิ รับ 1 OISHI BOX ลุ้นรางวัลกว่า 50,000 ไอเท็มทุกวัน (สกิน, ลูกแก้ว, เพชร) สามารถร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2562 – 31 มกราคม 2563 โดยผลิตภัณฑ์รสชาติที่ร่วมรายการได้แก่ โออิชิ กรีนที รสต้นตำรับ, โออิชิ กรีนที รสข้าวญี่ปุ่น, โออิชิ กรีนที รสน้ำผึ้งผสมมะนาว และ โออิชิ กรีนที กลิ่นองุ่นเคียวโฮ ขนาด 380 และ 350 มิลลิลิตร พร้อมผลิตภัณฑ์รสชาติใหม่จากโออิชิ | กลยุทธ์การตลาดของโออิชิที่จับกลุ่ม Gen M ผ่านแคมเปญ “Oishi x ROV รับยกเซ็ท 5 สกินญี่ปุ่น” ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกของบริษัทในหลายแง่มุม ดังนี้:
1. เพิ่มการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness):
แคมเปญนี้ช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์โออิชิในกลุ่ม Gen M ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักของโออิชิ ผ่านการใช้สื่อต่างๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ การร่วมมือกับ "การีน่า ออนไลน์" ผู้นำในธุรกิจอีสปอร์ต และการใช้พรีเซนเตอร์เป็น "10 หนุ่ม GMM ทีน ไอดอล" ซึ่งเป็นที่รู้จักและชื่นชอบในกลุ่ม Gen M
2. ขยายฐานลูกค้า (Customer Acquisition):
แคมเปญนี้ช่วยขยายฐานลูกค้าของโออิชิ โดยดึงดูดกลุ่ม Gen M ที่เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพสูง รักเทคโนโลยี และชื่นชอบการเล่นเกม
3. กระตุ้นยอดขาย (Sales Promotion):
แคมเปญนี้ช่วยกระตุ้นยอดขายของโออิชิ โดยมอบรางวัลที่ menarik สำหรับกลุ่ม Gen M เช่น สกิน ROV ลูกแก้ว เพชร
4. สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ (Brand Image):
แคมเปญนี้ช่วยสร้างภาพลักษณ์แบรนด์โออิชิให้ทันสมัย เข้าใจเทรนด์ และใกล้ชิดกับกลุ่ม Gen M
5. เสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship Management):
แคมเปญนี้ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยมีกิจกรรมต่างๆ ให้ลูกค้าได้ร่วมสนุก
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การตลาดนี้จะประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ ดังนี้:
ความน่าสนใจของรางวัล: รางวัลที่มอบให้ต้องน่าสนใจ ดึงดูดกลุ่ม Gen M
ช่องทางการสื่อสาร: ต้องใช้ช่องทางการสื่อสารที่กลุ่ม Gen M นิยมใช้
กิจกรรม: ต้องมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ดึงดูดให้กลุ่ม Gen M เข้าร่วม
การวัดผล: ต้องมีการวัดผลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญ | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57000 | Retail | GrabAds มีกลยุทธ์อย่างไร ในการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มธุรกิจ FMCG Automotive และ Financial & Banking | null | กลยุทธ์ของ GrabAds ในการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มธุรกิจ FMCG Automotive และ Financial & Banking มีดังนี้
1. นำเสนอโซลูชั่นโฆษณาแบบครบวงจร (One-Stop Solution)
- GrabAds นำเสนอรูปแบบโฆษณาที่หลากหลาย ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
- GrabAds มีทีมงานที่เชี่ยวชาญ คอยให้คำปรึกษา และช่วยเหลือลูกค้า
- GrabAds มีเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล ช่วยให้ลูกค้าสามารถติดตามผลลัพธ์
2. เน้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย (Targeting)
- GrabAds ใช้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภค
- GrabAds ใช้เทคโนโลยี AI
- GrabAds จับคู่โฆษณากับกลุ่มเป้าหมาย
3. สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภค (Engagement)
- GrabAds นำเสนอโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของผู้บริโภค
- GrabAds นำเสนอโฆษณาที่ไม่รบกวนผู้บริโภค
- GrabAds นำเสนอโฆษณาที่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภค
ตัวอย่างกลยุทธ์
- กลุ่ม FMCG: GrabAds สามารถนำเสนอโฆษณาแบบ Native Ads บนแอปพลิเคชัน Grab
- กลุ่ม Automotive: GrabAds สามารถนำเสนอโฆษณาแบบ Sponsored Content
- กลุ่ม Financial & Banking: GrabAds สามารถนำเสนอโฆษณาแบบ Video Ads
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
- GrabAds สามารถขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มธุรกิจ FMCG Automotive และ Financial & Banking
- GrabAds สามารถเพิ่มรายได้ให้กับ Grab
- GrabAds สามารถช่วยให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายทางการตลาด
สรุป
GrabAds มีศักยภาพที่จะเป็นสื่อโฆษณาบนแพลตฟอร์มค้าปลีกอันดับต้น ๆ ในไทย ด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการนำเสนอโซลูชั่นโฆษณาแบบครบวงจร เน้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภค | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57008 | Retail | โลตัสจะใชเทคโนโลยีของ Oracle Retail อย่างไรเพื่อเพิ่มประสบการณ์ของลูกค้าในร้านค้า? | null | โลตัสสามารถใช้เทคโนโลยีของ Oracle Retail เพื่อเพิ่มประสบการณ์ของลูกค้าในร้านค้าได้หลายวิธี ดังนี้:
1. เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลัง:
ระบบ Oracle Retail Inventory Management ช่วยให้โลตัสสามารถติดตามสินค้าคงคลังได้แบบเรียลไทม์
สิ่งนี้ทำให้สามารถตรวจสอบได้ว่าสินค้ามีอยู่ในสต็อกหรือไม่
ช่วยลดปัญหาสินค้าหมดสต็อก และทำให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
2. พัฒนาประสบการณ์การชำระเงิน:
ระบบ Oracle Retail POS ช่วยให้โลตัสสามารถชำระเงินได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
สิ่งนี้ช่วยลดเวลาการรอคิวของลูกค้า
โลตัสยังสามารถนำเสนอตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย เช่น การชำระเงินผ่านมือถือ
3. มอบประสบการณ์ส่วนตัว:
ระบบ Oracle Retail Customer Relationship Management (CRM) ช่วยให้โลตัสสามารถรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า
ข้อมูลนี้สามารถใช้เพื่อนำเสนอโปรโมชั่นและส่วนลดที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
โลตัสยังสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อปรับแต่งประสบการณ์ของลูกค้าในร้านค้า
4. พัฒนาการวิเคราะห์ข้อมูล:
ระบบ Oracle Retail Business Intelligence (BI) ช่วยให้โลตัสสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการขายและข้อมูลลูกค้า
ข้อมูลนี้สามารถใช้เพื่อตัดสินใจทางธุรกิจที่ดีขึ้น
โลตัสยังสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ
ตัวอย่าง
โลตัสสามารถใช้ระบบ Oracle Retail Merchandising System เพื่อจัดการสินค้าในร้านค้า
ระบบนี้ช่วยให้โลตัสสามารถจัดวางสินค้าบนชั้นวางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
โลตัสสามารถใช้ระบบ Oracle Retail Sales Audit เพื่อติดตามข้อมูลการขาย
ข้อมูลนี้สามารถใช้เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า
โลตัสสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ
โลตัสสามารถใช้ระบบ Oracle Retail Price Management เพื่อกำหนดราคาสินค้า
ระบบนี้ช่วยให้โลตัสสามารถกำหนดราคาสินค้าที่แข่งขันได้
ช่วยให้โลตัสสามารถเพิ่มผลกำไร
โดยสรุป โลตัสสามารถใช้เทคโนโลยีของ Oracle Retail เพื่อเพิ่มประสบการณ์ของลูกค้าในร้านค้าได้หลายวิธี สิ่งสำคัญคือต้องใช้เทคโนโลยีเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ
โลตัสควรลงทุนในการฝึกอบรมพนักงาน
พัฒนากลยุทธ์ที่ชัดเจนสำหรับการใช้เทคโนโลยี
โลตัสควรติดตามผลลัพธ์และทำการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตาม | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57019 | Retail | อธิบายกลยุทธ์การตลาดแบบ Scent Marketing โดย Aristo Aroma ว่ามีประสิทธิภาพอย่างไร ดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย สร้างยอดขาย และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในธุรกิจค้าปลีก (Retail) อย่างไร | null | Aristo Aroma นำเสนอ "ศาสตร์แห่งกลิ่น" หรือ Scent Marketing เข้ามาใช้เป็นกลยุทธ์ทางการตลาด ดึงดูดลูกค้า สร้างยอดขาย และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในธุรกิจค้าปลีก ดังนี้
1. ดึงดูดความสนใจ กระตุ้นอารมณ์:
กลิ่นหอม: กลิ่นหอมช่วยดึงดูดความสนใจ กระตุ้นอารมณ์ สร้างความรู้สึกผ่อนคลาย รื่นรมย์ กระตุ้นให้ลูกค้าอยากเข้าร้าน ใช้เวลานานขึ้น
กลิ่นเฉพาะตัว: Aristo Aroma ช่วยสร้างกลิ่นเฉพาะตัว เหมาะสมกับสินค้า ประเภทธุรกิจ สร้างเอกลักษณ์ จดจำได้ง่าย
กลิ่นตามเทศกาล: Aristo Aroma ออกแบบกลิ่นตามเทศกาล สร้างบรรยากาศ ดึงดูดลูกค้า
2. กระตุ้นการซื้อ:
การศึกษา: งานวิจัยพบว่า กลิ่นหอมช่วยเพิ่มยอดขาย 11% ลูกค้ามีความพึงพอใจ 20%
ตัวอย่าง: Nike ใช้กลิ่นกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อเพิ่มขึ้น 80% กลิ่นกาแฟสด เพิ่มยอดขายกาแฟ 300%
กลิ่นกระตุ้นความอยาก: กลิ่นหอม กระตุ้นความอยาก กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ
3. สร้างประสบการณ์ที่ดี:
กลิ่นผ่อนคลาย: กลิ่นหอม ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ
กลิ่นจดจำ: กลิ่นหอม ช่วยให้ลูกค้าจดจำร้าน ประสบการณ์
กลิ่นสร้างบรรยากาศ: กลิ่นหอม สร้างบรรยากาศ เหมาะสมกับสินค้า ประเภทธุรกิจ
ตัวอย่างการใช้งาน:
ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน: ใช้กลิ่นหอม ดึงดูดลูกค้า กระตุ้นการซื้อ
โรงแรม Holiday Inn: ใช้กลิ่นหอม สร้างบรรยากาศผ่อนคลาย
โชว์รูม Lamborghini: ใช้กลิ่นหอม สร้างบรรยากาศหรูหรา
ข้อดีของ Scent Marketing:
ดึงดูดลูกค้า: กลิ่นหอม ดึงดูดลูกค้า เข้าร้าน
กระตุ้นการซื้อ: กลิ่นหอม กระตุ้นการซื้อ
สร้างประสบการณ์ที่ดี: กลิ่นหอม สร้างประสบการณ์ที่ดี
สร้างเอกลักษณ์: กลิ่นหอม สร้างเอกลักษณ์ จดจำได้ง่าย
เพิ่มความพึงพอใจ: กลิ่นหอม เพิ่มความพึงพอใจ | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57031 | Retail | บริการหลักใดของเอ้ก ดิจิทัล ที่นำข้อมูลของลูกค้า มาวิเคราะห์และเสนอแผนงานที่ตอบโจทย์แบรนด์ผ่านแพลตฟอร์ม | a. บริการมีเดีย เอเจนซี ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแพลตฟอร์มโซลูชัน
b. บริการให้คำปรึกษากับธุรกิจค้าปลีก
c. บริการสื่อโฆษณาครบวงจร
d. บริการให้คำปรึกษาด้านการใช้ข้อมูลเชิงลึกผ่านโซลูชันแพลตฟอร์ม
e. บริการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อตอบโจทย์ทางธุรกิจ | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ d. เพราะว่า บริการให้คำปรึกษาด้านการใช้ข้อมูลเชิงลึกผ่านโซลูชันแพลตฟอร์มของเอ้ก ดิจิทัล ทำงานร่วมกับแบรนด์สินค้าต่างๆ ที่ต้องการสร้างการเติบโตในธุรกิจรีเทล โดยนำข้อมูลของลูกค้า มาวิเคราะห์และเสนอแผนงานที่ตอบโจทย์แบรนด์ ผ่านแพลตฟอร์ม ทั้งในรูปแบบ Customized BI Dashboard และ C-SUITE Insight Platform Solutions
6 บริการหลักของเอ้ก ดิจิทัล ได้แก่
1. บริการให้คำปรึกษากับธุรกิจค้าปลีก (Retail Consulting) - เป็นเสมือนทีมกลยุทธ์ให้แก่ลูกค้ารีเทล ด้วยการนำบิ๊กดาต้า มาวิเคราะห์และเสนอเป็นแผนธุรกิจ หรือแคมเปญต่างๆ ให้แก่ลูกค้า พร้อมขยายบริการนี้ไปสู่ต่างประเทศ อาทิ มาเลเซียที่มีความท้าทายอย่างมาก เนื่องด้วยมีความแตกต่างตามบริบทของธุรกิจและความหลากหลายของตลาด ทำให้ต้องปรับวิธีการอย่างเหมาะสมเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดคุณค่าสูงสุดแก่กลุ่มลูกค้ารีเทล
2. บริการให้คำปรึกษาด้านการใช้ข้อมูลเชิงลึกผ่านโซลูชันแพลตฟอร์ม (Insight Solutions) - ทำงานร่วมกับแบรนด์สินค้าต่างๆ ที่ต้องการสร้างการเติบโตในธุรกิจรีเทล โดยนำข้อมูลของลูกค้า มาวิเคราะห์และเสนอแผนงานที่ตอบโจทย์แบรนด์ ผ่านแพลตฟอร์ม ทั้งในรูปแบบ Customized BI Dashboard และ C-SUITE Insight Platform Solutions
3. บริการสื่อโฆษณาครบวงจร (Media Commercialization) - เป็นผู้ให้บริการสื่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยใช้แพลตฟอร์มอัจฉริยะมาวางแผนการใช้สื่อให้ตรงกับพฤติกรรมของผู้บริโภค ร่วมกับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับยอดขายของกลุ่มสินค้า แบรนด์ และผลิตภัณฑ์เพื่อให้นักการตลาดและแบรนด์สามารถสื่อสารกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและสร้างแคมเปญได้อย่างตรงจุด รวมถึงสร้างสรรค์นวัตกรรม อาทิ Shopper Screen จอดิจิทัลขนาดใหญ่ที่มีความละเอียดคมชัด และมองเห็นได้ทุกมุม
4. บริการมีเดีย เอเจนซี ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแพลตฟอร์มโซลูชัน (Platform Solutions) - เพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจของคู่ค้าด้วยบริการด้านแพลตฟอร์มโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง รวมถึงวางแผนกลยุทธ์การสื่อสารที่เหมาะสมและตรงกับกับกลุ่มเป้าหมายลูกค้า รวมถึงพัฒนาเว็บไซต์และบริหารจัดการโซเชียลมีเดียทุกช่องทาง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับธุรกิจของลูกค้าในทุกมิติ
5. ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าผ่านโซเชียลมีเดียชั้นนำ (SMS & Marketing Automation) – เป็นผู้เชี่ยวชาญในการนำเสนอโซลูชันที่เหมาะสมแก่แบรนด์เพื่อบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ อาทิ LINE, Facebook, Tiktok และโซเชียลมีเดียอื่นๆ รวมถึง SMS, Google SEO SEM อันส่งผลให้แบรนด์เติบโต เพิ่มการรับรู้ เยี่ยมชม จนกลายเป็นยอดขาย ซึ่งจะเชื่อมต่อทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ เป็น Omni Channel ครบวงจร เพื่อสร้างประสบการณ์เหนือระดับแบบไร้รอยต่อให้แก่ลูกค้า
6. บริการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อตอบโจทย์ทางธุรกิจ (Data Analytics) – นำข้อมูลมาบริหารจัดการและพัฒนาเป็นแผนงานที่ชัดเจน เพื่อสร้างประโยชน์แก่ธุรกิจและผู้บริโภคปลายทาง โดยยึดหลักการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคโนโลยี AI/Machine Learning เพื่อบรรลุ 2 วัตถุประสงค์หลัก คือ
6.1 การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมและคุ้มทุน
6.2 การใช้ข้อมูลเพื่อหาโอกาสสร้างยอดขายที่เพิ่มขึ้น | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57036 | Retail | สรุปบทความเรื่อง แม็คโคร คว้า 2 รางวัล จากงาน Asia Fruit Logistica 2022 ให้หน่อย | แม็คโคร ประกาศความสำเร็จส่งท้ายปี คว้าสองรางวัลใหญ่ระดับสากล จากงานแสดงสินค้าผักและผลไม้สดอันดับหนึ่งของเอเซีย ( Asia Fruit Logistica 2022) ตอกย้ำผู้นำแหล่งรวมวัตถุดิบและอาหารสดนำเข้าจากทั่วโลก เพื่อผู้ประกอบการและผู้บริโภค สำหรับ 2 รางวัลที่ “แม็คโคร” ได้รับจาก งาน Asia Fruit Logistica หรืองานแสดงสินค้าผักและผลไม้สดอันดับหนึ่งของเอเซีย ประกอบด้วย รางวัล “The Produce Retailer of the Year Award “ จากออสเตรเลีย และรางวัล “Exceptional Importer and Distributor of U.S. Fresh Fruits” จากกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา (U.S. Department of Agriculture : USDA) โดยมี นายธนิศร์ เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจค้าส่งแม็คโคร ประเทศไทย และนางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร เข้ารับรางวัลดังกล่าว ความสำเร็จในครั้งนี้ของแม็คโคร ตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจค้าส่ง Omni-Channel ของประเทศไทย ที่มุ่งเน้นนำเสนอความครบครันของวัตถุดิบอาหารในราคาค้าส่ง เพื่อผู้ประกอบการ โดยเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายวัตถุดิบอาหารจากนานาชาติอันดับต้นๆ โดยเฉพาะ ผัก ผลไม้ มีการนำเข้าจากแหล่งสำคัญ ในหลายประเทศทั่วโลก อาทิ แอปเปิ้ล ส้มแมนดาริน สตรอเบอรี่ อโวคาโด กีวี่ และแครอท ฯลฯ ซึ่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค และธุรกิจอาหาร ที่ฟื้นตัวจากการกลับมาของการท่องเที่ยวและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ปัจจุบันแม็คโคร เป็นแหล่งรวมอาหารสดและสินค้านำเข้าคุณภาพจากทั่วโลกมากกว่า 2,500 รายการ จาก 55 ประเทศ เพื่อมุ่งตอบโจทย์ธุรกิจร้านอาหารที่มองหาเทรนด์วัตถุดิบใหม่ๆ ในราคาลดต้นทุน นับเป็นทางเลือกที่ครบวงจร สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร รวมถึงกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่นิยมซื้อสินค้าแพ็คใหญ่ ในราคาที่คุ้มค่า | แม็คโคร คว้าสองรางวัล จากงานแสดงสินค้าผักและผลไม้สดอันดับหนึ่งของเอเซีย ( Asia Fruit Logistica 2022) ได้แก่ รางวัล “The Produce Retailer of the Year Award “ จากออสเตรเลีย และรางวัล “Exceptional Importer and Distributor of U.S. Fresh Fruits” จากกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา ความสำเร็จนี้ตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจค้าส่ง Omni-Channel ของไทย โดยเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายวัตถุดิบอาหารจากนานาชาติอันดับต้นๆ โดยเฉพาะ ผัก ผลไม้ มีการนำเข้าจากแหล่งสำคัญ ในหลายประเทศทั่วโลก ปัจจุบันแม็คโคร เป็นแหล่งรวมอาหารสดและสินค้านำเข้าคุณภาพจากทั่วโลกมากกว่า 2,500 รายการ จาก 55 ประเทศ | null | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57040 | Retail | งาน Food & Hospitality Thailand 2023 มีอะไรน่าสนใจสำหรับธุรกิจ Retail บ้าง? | null | งาน Food & Hospitality Thailand 2023 มีสิ่งที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจ Retail ดังนี้
1. โซน Shop & Retail Thailand (SRT)
-เป็นการรวมตัวของผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าหลากหลายประเภทที่ตรงกับความต้องการของนักท่องเที่ยว
-ร้านค้าปลีกสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ตรง
-เรียนรู้เทรนด์ใหม่ ๆ ของสินค้าและบริการ
-หาพันธมิตรทางธุรกิจ
-พัฒนากลยุทธ์ทางการตลาด
2. โซน Cleaning & Hygiene Thailand (CHT)
-นำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านการทำความสะอาดและสุขอนามัย
-ร้านค้าปลีกสามารถนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไปใช้เพื่อยกระดับมาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัย
-เรียนรู้วิธีการจัดการร้านค้าให้ปลอดภัยและถูกสุขอนามัย
-สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า
3. กิจกรรมสัมมนาและเวิร์คชอป
-มีการจัดสัมมนาและเวิร์คชอปมากมายเกี่ยวกับธุรกิจ Retail
-ร้านค้าปลีกสามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ
-พัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจ
-อัพเดทเทรนด์ใหม่ ๆ ของธุรกิจ Retail
4. โอกาสในการสร้างเครือข่าย
-งานนี้เป็นโอกาสดีในการพบปะพูดคุยกับผู้ประกอบการในธุรกิจ Retail
-ร้านค้าปลีกสามารถหาพันธมิตรทางธุรกิจ
-ขยายฐานลูกค้า
-เรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้ประกอบการรายอื่น
ตัวอย่างธุรกิจ Retail ที่น่าจะได้รับประโยชน์จากงานนี้
-ร้านขายของที่ระลึก
-ร้านขายสินค้าแฟชั่น
-ร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม
-ร้านสะดวกซื้อ
-ห้างสรรพสินค้า
สรุป
งาน Food & Hospitality Thailand 2023 เป็นงานที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจ Retail เพราะมีโซนและกิจกรรมต่าง ๆ มากมายที่สามารถช่วยให้ร้านค้าปลีกพัฒนาธุรกิจและเพิ่มยอดขาย | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57050 | Retail | เซ็นทรัล รีเทล ตั้งเป้าจะขยายสาขาไทวัสดุครบ 80 สาขาทั่วประเทศไทยภายในปี 2566 จริงหรือไม่? | null | จริง เหตุผล:
ข้อมูลจากข่าว: ข่าวระบุว่า "ภายในปี 2566 นี้ เซ็นทรัล รีเทล จะฉลองเปิดไทวัสดุครบ 80 สาขาทั่วประเทศไทย"
ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง: กลุ่มฮาร์ดไลน์ของเซ็นทรัล รีเทล ซึ่งไทวัสดุเป็นธุรกิจหลัก มีการเติบโตมากกว่าคู่แข่งในตลาด โดยสามารถสร้างยอดขายโตถึง 10% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ในปี 2565
กลยุทธ์การขยายสาขา: ไทวัสดุมีกลยุทธ์การขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปที่เมืองรองที่มีศักยภาพ
ความสำเร็จของไฮบริด ฟอร์แมท: ไทวัสดุ x BnB Home ได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า
การสนับสนุนจากเซ็นทรัล รีเทล: เซ็นทรัล รีเทล มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง และมีเครือข่ายพันธมิตรที่กว้างขวาง ซึ่งสามารถสนับสนุนการขยายสาขาของไทวัสดุได้
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบางประการที่อาจส่งผลต่อเป้าหมายดังกล่าว:
สภาวะเศรษฐกิจ: สภาวะเศรษฐกิจอาจส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค
การแข่งขัน: ธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้านมีการแข่งขันสูง
การเปลี่ยนแปลงของเทรนด์: เทรนด์ของสินค้าวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้านมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
โดยสรุป:
เซ็นทรัล รีเทล มีแผนที่จะขยายสาขาไทวัสดุครบ 80 สาขาทั่วประเทศไทยภายในปี 2566
โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ เช่น ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง กลยุทธ์การขยายสาขา และความสำเร็จของไฮบริด ฟอร์แมท
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบางประการที่อาจส่งผลต่อเป้าหมายดังกล่าว เช่น สภาวะเศรษฐกิจ การแข่งขัน และการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57065 | Retail | กลยุทธ์หลักของ Pomelo ที่ทำให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจค้าปลีกแบบ omnichannel ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คืออะไร? | null | กลยุทธ์หลักของ Pomelo ที่ทำให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจค้าปลีกแบบ omnichannel ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีดังนี้
1. มุ่งเน้นการขยายตัวของแบรนด์และสินค้า:
- เพิ่มจำนวนแบรนด์บนแพลตฟอร์มจาก 500 แบรนด์เป็นมากกว่า 2,000 แบรนด์
- นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เอ็กซ์คลูซีฟและหลากหลายจากหมวดหมู่แฟชั่นและไลฟ์สไตล์
- เน้นการนำเสนอแบรนด์ที่ใหญ่ที่สุดและตอบรับความต้องการของลูกค้ามากที่สุดในโลก
- สนับสนุนแบรนด์ต่างๆ บนแพลตฟอร์มด้วยฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น ศูนย์ผู้ขายแห่งใหม่ (Seller Center) การค้าปลีกที่เชื่อมถึงกัน (Connected Retail) และการทำงานแบบข้ามพรมแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA Cross Border)
2. มุ่งเน้นการเข้าถึงลูกค้า:
- ลงทุนด้านการตลาดและคอนเทนต์เป็นมูลค่า 1 พันล้านบาท
- เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่
- กำหนดกลยุทธ์และทีมที่ปรับให้เข้ากับแต่ละท้องถิ่น
- สร้างเครื่องมือคิดคอนเทนต์แบบที่สามารถปรับเปลี่ยนได้อัตโนมัติ
- รองรับการขยายตัวได้ในอนาคต
3. มุ่งเน้นประสบการณ์ของลูกค้า:
- นำเสนอบริการ Tap.Try.Buy ที่ช่วยมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไม่เหมือนใคร
- สร้างความรู้สึกของการอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนสำหรับลูกค้า
- พัฒนาทั้งประสบการณ์และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน
- สร้างชุมชนที่มีความหลากหลายครอบคลุม
- สร้างสถานที่ทำงานแบบไฮบริด
- สร้างการเรียนรู้ในแบบของ Pomelo
- สร้างงานที่มีคุณค่า
4. มุ่งเน้นการขยายสาขา:
- เพิ่มจำนวนสาขาจาก 27 สาขาเป็น 54 สาขาทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการทั้งออนไลน์และออฟไลน์
5. มุ่งเน้นเทคโนโลยี:
- พัฒนาแพลตฟอร์มให้รองรับการใช้งานที่หลากหลาย
- นำเสนอฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
- พัฒนาเครื่องมือคิดคอนเทนต์แบบอัตโนมัติ
ผลลัพธ์:
- โพเมโลมี GMV เติบโตขึ้น 260%
- มีแบรนด์บนแพลตฟอร์มมากกว่า 2,000 แบรนด์
- มี GMV ของแบรนด์บนแพลตฟอร์มเติบโตขึ้นสองเท่า
- มีจำนวนสาขาทั้งหมด 54 สาขา
- บริการ Tap.Try.Buy คิดเป็น 24% ของคำสั่งซื้อทั้งหมด
- คำสั่งซื้อจากช่องทางอีคอมเมิร์ซคิดเป็น 40%
บทสรุป:
กลยุทธ์หลักของ Pomelo ที่ทำให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจค้าปลีกแบบ omnichannel ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ การมุ่งเน้นการขยายตัวของแบรนด์และสินค้า การเข้าถึงลูกค้า ประสบการณ์ของลูกค้า การขยายสาขา และเทคโนโลยี กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้ Pomelo สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57069 | Retail | จงแต่งเรื่องสั้นโดยสอนเรื่อง....พนักงานควรเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง | null | เสียงสะท้อนจากคลังสินค้า
"พรุ่งนี้ฉันจะตกงาน" ประโยคสั้นๆ นี้หลุดออกจากปากของ 'มินอา' หญิงสาววัย 25 ปี พนักงานคลังสินค้า Amazon ในกรุงเทพฯ ใบหน้าของเธอซีดเผือด ไร้ซึ่งสีสัน ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจและกังวล
เธอเพิ่งได้รับแจ้งจากหัวหน้าแผนก ว่าเธอเป็นหนึ่งในพนักงาน 18,000 คน ที่ถูก Amazon ปลดออก
คลังสินค้า Amazon ที่เคยคึกคัก เต็มไปด้วยเสียงเครื่องจักร เสียงพูดคุยของพนักงาน วันนี้กลับเงียบสงัด บรรยากาศอึดอัด เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง พนักงานต่างจับกลุ่มพูดคุย ถามไถ่กันถึงสาเหตุของการปลดออก
มินอาหวนรำลึกถึงอดีต เมื่อ 2 ปีก่อน เธอดีใจมากที่ได้งานใน Amazon บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เงินเดือนดี สวัสดิการครบถ้วน เธอทุ่มเททำงานหนัก หวังจะมีอนาคตที่ดีกับบริษัท
แต่แล้ววิกฤตเศรษฐกิจก็ถาโถมเข้าใส่ Amazon เผชิญกับภาวะขาดทุน จำเป็นต้องลดต้นทุน พนักงานอย่างเธอจึงกลายเป็น 'ตัวเลือก' ที่ถูกตัดออก
"ฉันจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเช่า ค่าผ่อนรถ ค่าใช้จ่ายในบ้าน?" มินอาครุ่นคิด
เธอนึกถึงครอบครัวที่ต่างจังหวัด พ่อแม่ของเธอป่วย เธอต้องส่งเงินให้พวกเขาเป็นประจำ
"แล้วอนาคตของฉันจะเป็นอย่างไร?"
มินอาไม่ใช่คนเดียวที่เผชิญชะตากรรมนี้ พนักงานอีกหลายพันคนต้องเผชิญกับปัญหาเดียวกัน
เสียงสะท้อนจากคลังสินค้า Amazon สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจ
พนักงานเหล่านี้คือ 'เหยื่อ' ของวิกฤต
พวกเขาคือ 'ตัวเลข' บนหน้ากระดาษ
พวกเขาคือ 'แรงงาน' ที่ถูก 'ทิ้ง' | null | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57070 | Retail | การเปิดตัวบริการ Alipay+ ของเซ็นทรัล รีเทล จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล หรือไม่? | null | มีแนวโน้มที่จะเพิ่ม เหตุผล คือ
ข้อดี
1. เพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยว: นักท่องเที่ยวสามารถชำระเงินผ่านโมบายวอลเล็ตที่ใช้ในประเทศของตัวเองโดยไม่ต้องแลกเงินไทย
2. ขยายฐานลูกค้า: ดึงดูดนักท่องเที่ยวโซนเอเชีย ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของประเทศไทย
3. เพิ่มโอกาสในการซื้อ: นักท่องเที่ยวอาจใช้จ่ายมากขึ้นเมื่อชำระเงินสะดวก
4. สร้างภาพลักษณ์ที่ดี: แสดงถึงความทันสมัย และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค
ตัวอย่างข้อมูลสนับสนุน
-ไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 นักท่องเที่ยวใช้บริการผ่านร้านค้าในเครือเซ็นทรัล รีเทล เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
-ยอดขายจากกลุ่มนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเกือบ 200% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน
-นักท่องเที่ยวโซนเอเชียมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะแตะ 25 ล้านคนภายในปี 2566
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา
-การแข่งขัน: ร้านค้าอื่นๆ อาจมีบริการที่คล้ายคลึงกัน
-พฤติกรรมผู้บริโภค: นักท่องเที่ยวอาจยังไม่คุ้นเคยกับ Alipay+
-เศรษฐกิจ: สภาวะเศรษฐกิจอาจส่งผลต่อการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว
สรุป
การเปิดตัวบริการ Alipay+ ของเซ็นทรัล รีเทล มีแนวโน้มที่จะเพิ่ม ยอดขายให้กับธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องติดตาม | null | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57071 | Retail | เอ. เอส. วัตสัน กรุ๊ป ประกาศความมุ่งมั่นในการสร้างงานให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ จำนวนกี่ตำแหน่งทั่วโลกภายในปี พ.ศ.2573 | เนื่องในวันเยาวชนสากล เอ. เอส. วัตสัน กรุ๊ป ประกาศความมุ่งมั่นในการสร้างงานให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ จำนวน 200,000 ตำแหน่งทั่วโลกภายในปี พ.ศ.2573 โดยความมุ่งมั่นดังกล่าวยังเป็นการมอบโอกาส ทักษะ และประสบการณ์ให้กับเยาวชนจากทั่วทุกมุมโลก
เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ชีวิตการทำงานในโลกธุรกิจขายปลีกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การลงทุนเพื่ออนาคตของคนรุ่นใหม่ จากข้อมูลของสภาเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum (WEF) พบว่า สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดแรงงานทั่วโลก และกลายเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่งสำหรับเยาวชนทั่วโลก ซึ่งต้องพบกับปัญหาการว่างงานมาตั้งแต่ก่อนการแพร่ระบาดแล้ว โดยคนรุ่นใหม่ที่มีอายุตั้งแต่ 15 - 24 ปี มีแนวโน้มที่จะไม่มีงานทำมากกว่าคนที่มีอายุ 25 ปี ขึ้นไปถึงสามเท่า หากแต่สถานการณ์ COVID-19 ได้ทำให้ปัญหานี้ยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม และเพื่อเป็นการจัดการกับความท้าทายระดับโลกนี้ เอ. เอส. วัตสัน กรุ๊ป จึงได้วางแผนที่สร้างงาน จำนวน 200,000 ตำแหน่งงานทั่วโลกให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่เหล่านี้ เพื่อช่วยให้พวกเขาได้รับประสบการณ์อันมีค่าในการพัฒนาอาชีพในโลกธุรกิจการค้าปลีก
โดยจะเป็นตำแหน่งงานที่คลอบคลุมสาขาต่างๆ ของธุรกิจของเรา ไม่ว่าจะงานในส่วนร้านค้า ออฟฟิศ และการกระจายสินค้า โดยตำแหน่งงานยังมีบทบาทที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ระดับผู้เชี่ยวชาญด้านการบริการลูกค้า การตลาด ด้านดิจิทัล eCommerce การวิเคราะห์ การเงิน ตลอดจนงานด้านความยั่งยืน (Sustainability) เป็นต้น คุณพาร์คสัน ซึง ผู้อำนวยการฝ่ายบุคคล (เอเชีย) ของ เอ. เอส. วัตสัน กรุ๊ป กล่าวว่า “เราทุกคนควรมีส่วนรับผิดชอบในการบ่มเพาะคนรุ่นใหม่ โดยสิ่งที่พวกเขาเหล่านี้ต้องการ คือ โอกาสจากบริษัทต่างๆ ให้พวกเขาได้พิสูจน์ความสามารถของตัวเอง โดย เอ. เอส. วัตสัน กรุ๊ป มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มอบโอกาสที่ดีเหล่านี้ให้กับเยาวชนได้มีความหวังในอนาคตของพวกเขาท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์โรคระบาดต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สร้างความท้าทายในการก้าวสู่โลกการทำงานของพวกเขา ทั้งนี้ ความมุ่งมั่นของเราในเรื่องนี้ยังไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างความมั่นใจและเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานของพวกเขา แต่ยังเป็นการช่วยเสริมสร้างธุรกิจของเราเองผ่านการรับฟังเสียงของคนรุ่นใหม่อีกด้วย” สร้างความแข็งแกร่งสู่อนาคต วัตสัน ในฐานะผู้กำหนดมาตรฐานใหม่ทางธุรกิจ ได้เปลี่ยนโฉมธุรกิจการค้าปลีกไปอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบผสมผสานผ่านกลยุทธ์ O+O (ออฟไลน์ พลัส ออนไลน์) ตลอดจนการสร้างงานที่มาพร้อมบทบาทและตำแหน่งใหม่ๆ
ที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม การก้าวสู่โลกแห่งการทำงานอาจเป็นเรื่องยากสำหรับคนรุ่นใหม่ เพราะพวกเขายังขาดประสบการณ์และทักษะการทำงานเฉพาะทางที่ตำแหน่งงานเหล่านี้ต้องการ คุณโจแอนน์ แมกกี้ ผู้อำนวยการฝ่ายบุคคล (ยุโรป) ของ เอ. เอส. วัตสัน กรุ๊ป กล่าวเสริมว่า “เยาวชนคนรุ่นใหม่คือแหล่งศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ที่มีความสำคัญ การพัฒนาทักษะของพวกเขาจะสามารถช่วยให้อนาคตทางธุรกิจของเรามีความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยเราไม่เพียงแต่มอบโอกาสในการทำงาน แต่ยังให้การฝึกอบรมและการฝึกสอนเพื่อให้พวกเขาเพียบพร้อมไปด้วยทักษะที่จำเป็นในการเข้าสู่โลกแห่งอาชีพในธุรกิจค้าปลีกแบบ O+O ซึ่งเราตั้งเป้าที่จะมอบการฝึกอบรมราว 5 ล้านชั่วโมงให้กับเยาวชนทั่วโลกเพื่ออนาคตที่สดใสของพวกเขา โดยเรากำลังรอคนรุ่นใหม่จำนวน 200,000 คน มาร่วมงานกับเราตั้งแต่ตอนนี้จนถึงปี พ.ศ.2573 เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจของ เอ. เอส. วัตสัน ให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” เชื่อมั่นพลังคนรุ่นใหม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ เอ. เอส. วัตสัน ได้ให้ความสำคัญและลงทุนกับการพัฒนาบุคลากรมาตลอดผ่านโครงการต่างๆ ที่นำการเรียนรู้ระหว่างการทำงานมาผนวกเข้ากับการศึกษาต่อ ซึ่งกว่า 10 ปีแล้วที่ร้านค้าในเครือของ เอ. เอส. วัตสัน อย่าง Superdrug และ Savers ได้ดำเนินโครงการ Apprenticeship Scheme ในอังกฤษ เพื่อช่วยเหลือเยาวชนที่สำเร็จการศึกษาในโรงเรียนและต้องการหาประสบการณ์ในการทำงานมากกว่าเรียนต่อในระบบการศึกษาภาคปกติ ซึ่งโครงการดังกล่าวทำให้ เอ. เอส. วัตสัน ได้รับการยอมรับในฐานะที่เป็นนายจ้างดีเด่นด้านการฝึกอบรมพนักงานในธุรกิจค้าปลีก ซึ่งในปัจจุบันได้ช่วยให้เยาวชนได้รับวุฒิการทำงานในฐานะพนักงานฝึกหัดในธุรกิจค้าปลีกจำนวนกว่า 4,500 คนแล้ว คุณเคย์ลีห์ อาร์โนลด์ ผู้เริ่มต้นจากการเป็นเด็กฝึกงานและปัจจุบันได้ก้าวมาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการร้าน Superdrug กล่าวว่า "โครงการ Apprenticeship Programme ได้นำความเปลี่ยนแปลงและเปิดโลกใบใหม่ รวมถึงช่วยให้เข้าใจบทบาทในโลกสมัยใหม่ในธุรกิจค้าปลีกอีกด้วย ฉันรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสอันมีค่านี้ที่ Superdrug การได้ทำงานในธุรกิจขายปลีกเป็นงานแรกในชีวิตกลายเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าสำหรับฉันมากๆ” ร้าน Kruidvat ในเนเธอร์แลนด์ เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เข้ามาเรียนรู้หาประสบการณ์จากการทำงานภาคปฏิบัติ และยังเป็นสถานที่ทำงานที่ได้รับการรับรองสำหรับการฝึกงาน การทำงาน และการเรียนรู้ อีกด้วย โดยในแต่ละปี มีคนรุ่นใหม่เข้าร่วมฝึกงาน
ในโครงการนี้ประมาณ 1,400 คน คุณกวิน ร็อคส์ หนึ่งในเด็กฝึกงานที่ร้าน Kruidvat กล่าวว่า "การได้มาฝึกงานที่ Kruidvat เปิดโอกาสให้ฉันได้นำทฏษฎีความรู้ต่างๆ
ที่ได้จากโรงเรียนมาประยุกต์ใช้ในภาคการทำงาน และยังช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ของฉันอีกด้วย ฉันรู้สึกคุ้มค่าที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจนี้และช่วยให้ฉันพัฒนาอาชีพในธุรกิจค้าปลีกต่อไป” A.S. Watson Retail Academy จัดเป็นสถาบันอบรมธุรกิจค้าปลีกแห่งแรกของเอเชีย ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นในฮ่องกงตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 โดย
เอ. เอส. วัตสัน ยังเป็นบริษัทแห่งแรกที่เปิดหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงด้านการจัดการการค้าปลีก ซึ่งถือเป็นหลักสูตรระดับ 5 ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ (Qualifications Framework - QF) หรือเทียบเท่ากับระดับปริญญาตรี โดยปัจจุบัน มีผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรดังกล่าวในทุกระดับตามกรอบมาตรฐาน QF จำนวนกว่า 4,400 คน แล้ว “หลักสูตรการจัดการธุรกิจค้าปลีกช่วยให้ฉันมีคุณสมบัติมากขึ้น และยังช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆในการทำงานให้กับฉันอีกด้วย นอกจากฉันจะได้เรียนรู้การดำเนินธุรกิจแบบ O+O จากธุรกิจระดับโลกในเรื่องการค้าปลีก ฉันยังรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนธุรกิจนี้ให้ดีขึ้นในทุกๆ วันอีกด้วย” คุณรอย ซาง ผู้สำเร็จการศึกษาจาก A.S. Watson Retail Academy ซึ่งปัจจุบันได้ก้าวมาเป็นผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการขายของ วัตสัน ฮ่องกง คนรุ่นใหม่มักเปี่ยมไปด้วยพลังและศักยภาพในการสร้างความเปลี่ยนแปลง พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ยังต้องการเปลี่ยนสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ให้ดีขึ้นอีกด้วย ความพยายามของ เอ. เอส. วัตสัน ในการจัดหางานให้กับคนรุ่นใหม่ จึงยังเป็น
การผนึกกำลังกับพวกเขาเพื่อขับเคลื่อนแผนงานด้านความยั่งยืนต่างๆ ของ เอ. เอส. วัตสัน อีกด้วย และเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ ทางกลุ่มจึงได้จัดตั้งคณะกรรมการคนรุ่นใหม่ด้านความยั่งยืน หรือ “Next Gen” Sustainability Committee ซึ่งสมาชิกประกอบด้วย คนรุ่นใหม่
ที่เป็น GenY/ GenZ จำนวน 18 คน จาก 12 ตลาดทั้งในเอเชียและยุโรป โดยพวกเขาจะทำงานร่วมกับคณะกรรมการด้านความยั่งยืนระดับโลกของบริษัท หรือ Global Sustainability Committee เพื่อเร่งสร้างความก้าวหน้าด้านความยั่งยืนและเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้
ให้ดีขึ้นกว่าเดิม ในขณะโลกของเรากำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์โรคระบาด ปัญหาทางเศรษฐกิจยังได้กลายมาเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่จำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ เอ. เอส. วัตสัน จึงมีความมุ่งมั่นที่จะให้พื้นที่และโอกาสกับพวกเขาในการเริ่มต้นอาชีพและยังเป็น
การตอกย้ำบทบาทของทางกลุ่มในฐานะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืนอีกด้วย | เอ. เอส. วัตสัน กรุ๊ป ประกาศความมุ่งมั่นในการสร้างงานให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ จำนวน 200,000 ตำแหน่งทั่วโลกภายในปี พ.ศ.2573 โดยความมุ่งมั่นดังกล่าวยังเป็นการมอบโอกาส ทักษะ และประสบการณ์ให้กับเยาวชนจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ชีวิตการทำงานในโลกธุรกิจขายปลีกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนควรมีส่วนรับผิดชอบในการบ่มเพาะคนรุ่นใหม่ โดยสิ่งที่ต้องการ คือ โอกาสจากบริษัทต่างๆ ให้ได้พิสูจน์ความสามารถของตัวเอง โดย เอ. เอส. วัตสัน กรุ๊ป มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มอบโอกาสที่ดีเหล่านี้ให้กับเยาวชนได้มีความหวังในอนาคตท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์โรคระบาดต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สร้างความท้าทายในการก้าวสู่โลกการทำงาน ทั้งนี้ ความมุ่งมั่นในเรื่องนี้ยังไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างความมั่นใจและเพิ่มขีดความสามารถในการทำงาน แต่ยังเป็นการช่วยเสริมสร้างธุรกิจผ่านการรับฟังเสียงของคนรุ่นใหม่อีกด้วย
วัตสัน ในฐานะผู้กำหนดมาตรฐานใหม่ทางธุรกิจ ได้เปลี่ยนโฉมธุรกิจการค้าปลีกไปอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบผสมผสานผ่านกลยุทธ์ O+O (ออฟไลน์ พลัส ออนไลน์) ตลอดจนการสร้างงานที่มาพร้อมบทบาทและตำแหน่งใหม่ๆ ที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม การก้าวสู่โลกแห่งการทำงานอาจเป็นเรื่องยากสำหรับคนรุ่นใหม่ เพราะยังขาดประสบการณ์และทักษะการทำงานเฉพาะทางที่ตำแหน่งงานเหล่านี้ต้องการ
เยาวชนคนรุ่นใหม่คือแหล่งศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ที่มีความสำคัญ การพัฒนาทักษะจะสามารถช่วยให้อนาคตทางธุรกิจมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ไม่เพียงแต่มอบโอกาสในการทำงาน แต่ยังให้การฝึกอบรมและการฝึกสอนเพื่อให้เพียบพร้อมไปด้วยทักษะที่จำเป็นในการเข้าสู่โลกแห่งอาชีพในธุรกิจค้าปลีกแบบ O+O ซึ่งตั้งเป้าที่จะมอบการฝึกอบรมราว 5 ล้านชั่วโมงให้กับเยาวชนทั่วโลก เพื่ออนาคตที่สดใส โดยกำลังรอคนรุ่นใหม่จำนวน 200,000 คน มาร่วมงานกับเราตั้งแต่ตอนนี้จนถึงปี พ.ศ.2573 เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจของ เอ. เอส. วัตสัน ให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_36547 | Retail | AirAsia Group ได้เปลี่ยนชื่อเป็นอะไร | AirAsia Group เปลี่ยนชื่อเป็น Capital A โดยโทนี่ เฟอร์นันเดส ผู้บริหารของ Capital A พร้อมตั้งเป้าว่าจะต้องสามารถเข้าถึงผู้คนกว่า 1 พันล้านคนในอาเซียนให้ได้ภายในปี 2026
สำหรับสิ่งที่นำไปสู่การทรานสฟอร์มองค์กรครั้งนี้ โทนี่ เฟอร์นันเดสบอกว่า มีสิ่งที่เรียกว่าฐานข้อมูลที่แข็งแกร่งจากการประกอบธุรกิจตลอด 20 ปีที่ผ่านมา และจะนำฐานข้อมูลเหล่านั้นมาใช้กับโปรดักท์อื่น ๆ ของทางกลุ่มที่ไม่ใช่แค่ค่าโดยสารสายการบินอีกต่อไป เห็นได้จาก airasia SuperApp ซึ่งเป็นช่องทางหลักมีผลิตภัณฑ์ของทางกลุ่มอยู่ถึง 16 โปรดักท์ ซึ่งเป็นบริการที่ครอบคลุมในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น บริการด้านอาหาร, ค้าปลีก, อีคอมเมิร์ซ, ขนส่งสินค้าภายในวันเดียว, บริการเรียกรถ, OTA ฯลฯ
นอกจากนั้น ทางกลุ่ม Capital A ยังได้ประกาศเป้าหมายของบริษัทดังต่อไปนี้
- เป็นกลุ่มสายการบินที่เชื่อมต่อและให้บริการผู้คนกว่า 1 พันล้านคนในอาเซียน
- มีแผนกวิศวกรรม (Asia Digital Engineering : ADE) และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมบริการบำรุงรักษา ซ่อมแซม หรือเป็น MRO ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- วางโพสิชันให้ airasia Super App เป็นสุดยอดแอปในอาเซียน
- มีผู้ใช้งาน BigPay (บริการฟินเทคของทางค่าย) 10 ล้านคนต่อเดือน
- มีส่วนแบ่งตลาด 10% ในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และอีคอมเมิร์ซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ส่วนงาน Teleport)
- มีผู้ลงทะเบียน 5 ล้านแอคเคาน์ใน AirAsia Academy
- ยอดสั่งซื้อของชำ (grocery) มากกว่า 21 ล้านรายการต่อเดือน
ทั้งหมดนี้ ทางกลุ่มตั้งเป้าทำให้สำเร็จภายในปี 2026 หรืออีก 4 ปีนับจากนี้เป็นต้นไป ซึ่งหากทำได้ จะส่งผลให้สัดส่วนรายได้ที่ไม่ได้มาจากสายการบิน จะเพิ่มเป็น 50% จากรายได้รวมของกลุ่มภายในปี 2026 | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
||
Medical_27061 | Medical | ขอใจความสำคัญเรื่อง "การตรวจวินิจฉัยอาการปวดหลังด้วยเครื่อง MRI 3 Tesla: การใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อค้นหาสาเหตุและวินิจฉัยโรคกระดูกสันหลังอย่างแม่นยำ" ให้หน่อยคะ | อาการปวดหลังเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ ไม่ว่าจะเกิดจากการทำงานเป็นเวลานาน ก้มหน้าเล่นสมาร์ทโฟน ยกของหนัก แม้จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม กินยาแก้ปวด ทำกายภาพแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าอาการจะดีขึ้น ดังนั้นควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเพื่อค้นหาสาเหตุอย่างละเอียด ด้วยการทำ MRI กระดูกสันหลัง หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการตรวจวินิจฉัยอาการปวดหลังได้อย่างตรงจุด ปลอดภัย แม่นยำ ไม่เจ็บ และทราบผลได้ในเวลาอันรวดเร็ว
การตรวจด้วยเครื่อง MRI 3 Tesla คืออะไร?
การตรวจวินิจฉัยโรคด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือการตรวจด้วยเครื่อง MRI (Magnetic Resonance Imaging) คือ เทคนิคการสร้างภาพทางรังสีวิทยา เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรค และติดตามผลการตรวจรักษา โดยเครื่องที่ใช้ตรวจมีการปล่อยสนามแม่เหล็กที่มีระดับความเข้มของสนามแม่เหล็ก 3 เทสลา (3.0 Tesla) และคลื่นวิทยุเข้มข้นสูงออกมา ทำให้เห็นภาพเหมือนจริงของอวัยวะภายในต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาเพื่อใช้สำหรับการวินิจฉัยอาการผิดปกติได้อย่างมีคุณภาพ มีรายละเอียดและความคมชัดสูง โดยเฉพาะสมอง หัวใจ กระดูก กล้ามเนื้อ และส่วนที่เป็นมะเร็ง ทำให้แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยความผิดปกติในร่างกายได้อย่างแม่นยำ ซึ่งการตรวจด้วยเครื่อง MRI 3 Tesla นี้ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดใด ๆ แก่ร่างกาย และไม่มีอันตรายจากรังสีตกค้าง
การตรวจกระดูกสันหลังด้วยเครื่อง MRI 3 Tesla
เครื่อง MRI 3 Tesla สามารถใช้ตรวจโรคที่มีความเกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลังได้ค่อนข้างหลากหลาย เช่น โรคกระดูกพรุน โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท และอาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา โดยแพทย์จะทำการซักประวัติและสั่งตรวจด้วยเครื่อง MRI เพิ่มเติม ซึ่งช่วยในการตรวจวินิจฉัยอาการปวดหลังที่ต้นเหตุได้
อาการปวดแบบไหนที่ควรตรวจ MRI กระดูกสันหลัง
ปวดคอ รุนแรง
ปวดหลังเรื้อรังนานหลายสัปดาห์
ปวดหลังร้าวลงขา ชาลงแขนหรือลำตัว
ขาลีบ แขนหรือขาอ่อนแรง
แขนขากระตุก ควบคุมไม่ได้
สมรรถภาพทางเพศลดลง
ควบคุมปัสสาวะ อุจจาระไม่ได้
ข้อดีของการ MRI กระดูกสันหลังด้วยเครื่อง MRI 3 Tesla
สามารถตรวจพบความผิดปกติได้อย่างรวดเร็วและบอกขอบเขตของโรคได้ทำให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาโรคต่อไปได้
ให้ภาพละเอียด คมชัด แยกความแตกต่างระหว่างเนื้อเยื่อได้อย่างชัดเจน ทำให้มีความถูกต้องแม่นยำในการวินิจฉัยโรคมากยิ่งขึ้น
ไม่ต้องเสี่ยงกับการฉีดสารทึบรังสีโดยไม่จำเป็น เพราะการตรวจด้วยเครื่อง MRI 3 Tesla ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อเนื้อเยื่อและไม่ใช้คลื่นรังสีเอกซเรย์ที่เป็นอันตรายแก่ร่างกาย
เป็นการตรวจที่ไม่ใช้รังสีเอกซ์จึงใช้ตรวจได้อย่างปลอดภัยแม้ในผู้ป่วยเด็กหรือผู้ป่วยตั้งครรภ์
ก่อนตรวจด้วยเครื่อง MRI 3 Tesla ต้องเตรียมตัวอย่างไร
ไม่ต้องงดน้ำ และอาหารก่อนตรวจ ยกเว้น การตรวจในช่องท้อง
วันที่มารับการตรวจ ควรงดใช้เครื่องสำอางบางชนิดก่อนตรวจ เช่น อายแชโดว์ มาสคาร่า เนื่องจากมีส่วนผสมของโลหะทำให้เกิดเป็นสิ่งแปลกปลอมในภาพได้ รวมถึงต้องนำโลหะต่าง ๆ ออกจากตัว เช่น ต่างหู เครื่องประดับ เป็นต้น ในกรณีสำหรับผู้ที่มีการจัดฟัน การทำ MRI ตรวจในช่วงบริเวณ สมองถึงกระดูกคอควรต้องถอดเอาเหล็กดัดฟันออกก่อน เพราะจะมีผลต่อความชัดของภาพ
วันตรวจควรมีญาติมาด้วยอย่างน้อย 1 คน
ผู้ป่วยและครอบครัวควรอ่านเอกสารแนะนำ “การปฏิบัติตัวเมื่อเข้ารับการตรวจโดยเครื่อง MRI” และซักถามเจ้าหน้าที่แผนกรังสีวินิจฉัยให้เข้าใจ
ขั้นตอนในการตรวจด้วยเครื่อง MRI 3 Tesla
ผู้ป่วยต้องเข้าไปนอนในเครื่อง ลักษณะคล้ายอุโมงค์ และจะมีการใส่อุปกรณ์รับสัญญาณภาพ โดยมีลักษณะที่แตกต่างไปขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ต้องการตรวจ โดยผู้ป่วยต้องนอนในอุโมงค์อย่างน้อย 30 – 60 นาที ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ต้องการตรวจ การตรวจจะแบ่งเป็นชุดๆ ในแต่ละชุดใช้เวลานาน 3 – 5 นาที
ข้อห้ามและข้อควรระวัง ก่อนตรวจ MRI
เนื่องจากเครื่องตรวจ MRI มีสนามแม่เหล็กแรงสูงตลอดเวลา ทำให้มีผลต่อการทำงาน และการขยับของอุปกรณ์ที่มีส่วนผสมของโลหะ ทั้งที่อยู่ในร่างกาย หรือที่ติดมากับผู้ป่วย ดังนั้นผู้ป่วยควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทราบ ทั้งแพทย์ พยาบาลและผู้ดูแล ในกรณีต่อไปนี้
ผู้ป่วยรับการผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจบางรุ่น (Cardiac pacemaker)
ผู้ป่วยเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียม ชนิดโลหะ
ผู้ป่วยผ่าตัดใส่คลิปหนีบหลอดเลือดโป่งพอง (Aneurysm clips)
ผู้ป่วยผ่าตัดใส่เครื่องช่วยฟังที่ฝังในกระดูกหู
ผู้ป่วยมีโลหะต่างๆ อยู่ในร่างกาย เช่น ข้อเทียมต่างๆ โลหะดามกระดูก กระสุนปืน
มีสิ่งแปลกปลอมที่เป็นโลหะติดอยู่ที่ตา
ตั้งครรภ์โดยเฉพาะในระยะ 3 เดือนแรก
กลัวที่แคบ (Claustrophobia) หรือไม่สามารถนอนราบในอุโมงค์ตรวจได้
การปฏิบัติตัว หลังรับการตรวจ MRI
สังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น กรณีที่ได้รับการฉีดสารเพิ่มความแตกต่างของเนื้อเยื่อเข้าทางหลอดเลือดดำ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีผื่นขึ้น ควรมาพบแพทย์
มาตรวจและฟังผลการตรวจตามวันเวลาที่นัดหมาย | อาการปวดหลังเรื้อรังที่ไม่ดีขึ้นด้วยการปรับพฤติกรรม, การทำกายภาพ, และการใช้ยาแก้ปวดโดยไม่เห็นผลดี จึงแนะนำให้ทำการตรวจวินิจฉัยอาการด้วยเครื่อง MRI กระดูกสันหลังหรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหาอย่างละเอียด โดยเน้นที่การใช้เครื่อง MRI 3 Tesla ที่มีความละเอียดและความคมชัดสูงในการตรวจวินิจฉัยโรค.
เครื่อง MRI 3 Tesla คือเครื่อง MRI ที่ใช้สนามแม่เหล็กระดับ 3 เทสลา เพื่อให้ภาพเห็นภายในร่างกายได้อย่างชัดเจน โดยมีประโยชน์ในการตรวจวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลัง.
การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือ MRI เป็นเทคนิคการสร้างภาพทางรังสีวิทยา เพื่อตรวจวินิจฉัยโรค โดยใช้สนามแม่เหล็กและคลื่นวิทยุเข้มข้นสูง. ผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังควรพิจารณาการตรวจ MRI กระดูกสันหลัง ในกรณีของอาการปวดหลังรุนแรง, ระยะเวลานาน, หรือมีอาการเสี่ยงเป็นมะเร็งหรือภาวะรุนแรงอื่น ๆ.
การตรวจด้วยเครื่อง MRI 3 Tesla มีข้อดีมากมาย เช่น การตรวจได้อย่างรวดเร็ว, ภาพละเอียดคมชัด, ปลอดภัยไม่ใช้รังสีเอ็กซเรย์, และสามารถตรวจพบความผิดปกติได้ทันที.
การเตรียมตัวก่อนตรวจ MRI 3 Tesla รวมถึงการไม่ต้องงดน้ำและอาหาร, และการนำออกวัตถุที่มีโลหะออกจากร่างกาย.
ในบทความยังแจกแนะข้อห้ามและข้อควรระวัง ก่อนตรวจ MRI เพื่อป้องกันการกระทบของสนามแม่เหล็กแรง. เน้นว่าการใช้เครื่อง MRI 3 Tesla ในการตรวจวินิจฉัยโรคกระดูกสันหลังมีประโยชน์มาก, และยกเฉพาะกล่าวถึงขั้นตอนในการตรวจ, การเตรียมตัว, และข้อควรระวังที่ควรทราบก่อนการตรวจ MRI. | 6.รังสีวิทยา (รังสีวิทยา) - Radiology,24.เวชศาสตร์ฟื้นฟู | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_33909 | Retail | จากกรณีศึกษาของ ANEXT Bank อะไรคือกลยุทธ์ที่ธุรกิจค้าปลีกในไทยสามารถนำไปปรับใช้เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในยุคดิจิทัล | จากบทความ ANEXT Bank ธนาคารดิจิทัลจาก Ant Group ประสบความสำเร็จในการให้บริการทางการเงินแก่ธุรกิจ SME ในสิงคโปร์ กลยุทธ์ที่ธุรกิจค้าปลีกในไทยสามารถนำไปปรับใช้เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในยุคดิจิทัลมีดังนี้:
1. มุ่งเน้นการให้บริการทางการเงินที่เข้าถึงง่าย:
พัฒนาระบบการชำระเงินออนไลน์ที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย
นำเสนอบริการสินเชื่อและเงินทุนหมุนเวียนสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
ให้บริการทางการเงินผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น โมบายล์แอปพลิเคชัน และเว็บไซต์
2. นำเทคโนโลยีมาพัฒนาธุรกิจ:
วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการ
พัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ
นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในธุรกิจ เช่น หุ่นยนต์ โดรน และระบบอัตโนมัติ
3. พัฒนาประสบการณ์ของลูกค้า:
นำเสนอบริการที่สะดวก รวดเร็ว และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
พัฒนาระบบการบริการลูกค้าออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ
สร้างบรรยากาศการช้อปปิ้งออนไลน์ที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ
4. พัฒนาศักยภาพของพนักงาน:
ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะของพนักงานให้ทันต่อเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลง
สร้างแรงจูงใจและสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี ส่งเสริมให้พนักงานมีความสุข
สนับสนุนให้พนักงานมีส่วนร่วมในการพัฒนาธุรกิจ
5. ปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล:
ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้เหมาะสม
พัฒนาช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ ขยายฐานลูกค้า
สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งบนโลกออนไลน์
ตัวอย่างเพิ่มเติม:
ศึกษาและติดตามเทรนด์ธุรกิจค้าปลีกในต่างประเทศ
พัฒนาระบบการจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ
บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้า
โดยสรุป:
ธุรกิจค้าปลีกในไทยควรนำเทคโนโลยีมาพัฒนาธุรกิจ มุ่งเน้นการให้บริการทางการเงินที่เข้าถึงง่าย พัฒนาประสบการณ์ของลูกค้า พัฒนาศักยภาพของพนักงาน และปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล
ผลลัพธ์:
ธุรกิจค้าปลีกสามารถเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในยุคดิจิทัล
เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
รักษาฐานลูกค้าและขยายฐานลูกค้าใหม่
สร้างผลกำไรและสร้างชื่อเสียงให้กับธุรกิจ | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
||
Retail_36598 | Retail | แผนพัฒนา ของบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เป็นอย่างไร | บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ในเครือสหพัฒน์ ร่วมลงนามความร่วมมือกับบริษัท บี.กริม จอยน์ เว็นเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด เพื่อร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมด้วยแนวคิดวิศวกรรมคุณค่า (Value Engineering) โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การพัฒนาโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ พร้อมทั้งใช้โซลูชันด้านการประหยัดพลังงานและการใช้ชีวิตให้มีสุขภาพที่ดีแบบครบวงจร เครือสหพัฒน์ นำโดย นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ และ นายวิชัย กุลสมภพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ กับ บี.กริม นำโดย ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม นางสาว แคโรลีน ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม จอยน์ เว็นเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด และ นายฟาบริส กู๊ดช์แมน ประธานกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม บี.กริม เพื่อเป็นพันธมิตรในเชิงกลยุทธ์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการด้านอสังหาริมทรัพย์และด้านอุตสาหกรรมในประเทศไทย พร้อมผนึกกำลังเครือข่ายธุรกิจและฐานลูกค้าเพื่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ อีกทั้งยังส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของทั้งสองกลุ่มบริษัทร่วมกัน โดยภายหลังจากพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม เปิดเผยว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงระหว่าง บี.กริม และ เครือสหพัฒน์ การลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการพัฒนามิตรภาพของเราให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดย บี.กริม สามารถนำแนวคิดวิศวกรรมคุณค่ามาช่วยเครือสหพัฒน์ในการพัฒนาโครงการตั้งแต่ในขั้นตอนการออกแบบ เพื่อวางโครงสร้างเปลือกอาคาร ระบบแสงสว่าง ระบบปรับอากาศ อุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าแรงดันต่ำและแรงดันปานกลาง และโซลูชันต่างๆ ให้เหมาะสมที่สุด ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การประหยัดพลังงานและการลงทุนที่คุ้มค่า แต่ยังคงให้ประสิทธิภาพสูงสุด “ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่วันนี้เราได้ยกระดับความเป็นพันธมิตรระหว่างเครือสหพัฒน์และ บี.กริม ขึ้นไปอีกขั้น โดย บี.กริม และเครือสหพัฒน์นั้นมีความสัมพันธ์มายาวนานตั้งแต่สมัยคุณปู่ของผม และเราทั้งสองบริษัทได้มีกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือสังคมมากมายทั้งในด้านการศึกษา กีฬา วัฒนธรรม ศาสนา ความเป็นอยู่ของสังคม และสิ่งแวดล้อม เมื่อเร็วๆ นี้ เราได้ผนึกกำลังมอบถุงยังชีพเพื่อช่วยเหลือประชาชนในชุมชนเขตคลองเตย ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วยกัน การลงนามความร่วมมือในวันนี้ไม่เพียงเป็นการให้คำยึดมั่นที่จะร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง แต่รวมไปถึงการพัฒนาโซลูชันสำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมในด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อยู่อาศัยหรือผู้ประกอบการให้มีสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบาย ปลอดภัย มีสุขภาพที่ดี และยังประหยัดพลังงานอีกด้วย” นายวิชัย กุลสมภพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า ทางเครือสหพัฒน์มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้ามาร่วมมือกับทาง บี.กริม ซึ่งสินค้าและบริการที่หลากหลายของทั้งสองกลุ่มบริษัท ทำให้เรามองเห็นถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการต่างๆ ร่วมกัน เพื่อให้นำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ประกอบการและผู้บริโภค “ธุรกิจภายใต้เครือสหพัฒน์ดำเนินธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การบริหารและพัฒนาสวนอุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจบริการ การค้าปลีก โซลูชันที่หลากหลายของ บี.กริม สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับการพัฒนาธุรกิจของเรามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในธุรกิจที่หลากหลายของเครือสหพัฒน์ก็สามารถที่จะช่วยส่งเสริมธุรกิจของ บี.กริม ได้เช่นกัน เช่น ธุรกิจสิ่งทอคุณภาพสูงมีประสิทธิภาพป้องกันความชื้น และเชื้อรา ที่สามารถนำไปใช้กับสินค้าอุตสาหกรรมอย่าง เครื่องปรับอากาศได้ หรือ ธุรกิจรักษาความปลอดภัย ที่สามารถพัฒนาบริการโดยขยายไปยังธุรกิจรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) ร่วมกัน ด้วยความร่วมมือดังกล่าว บี.กริม และ เครือสหพัฒน์ จึงเริ่มศึกษาความเป็นไปได้ในการออกแบบโซลูชันให้แก่ คิงบริดจ์ ทาวเวอร์ (KingBridge Tower) เป็นโครงการแรกภายใต้ บริษัท สห แคปปิตอล ทาวเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานให้เช่าที่สูงที่สุดในประเทศไทย ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บนถนนพระราม 3 และเป็น Smart Building ที่ผสมผสาน Iconic Design เทคโนโลยีและนวัตกรรมให้กลมกลืนไปกับพื้นที่สีเขียว เน้นความเป็นมิตรต่อคุณภาพชีวิตของผู้ใช้อาคารและสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมวันทำงานให้มีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี” ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของเรา | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
||
Medical_26203 | Medical | จากข้อมูลในบทความ ไม้ทรงบาดาลมีสรรพคุณทางสมุนไพรอย่างไร? อธิบายกลไกการออกฤทธิ์และประโยชน์ต่อสุขภาพ | จากบทความ ไม้ทรงบาดาลมีสรรพคุณทางสมุนไพรดังนี้
1. รากแก้พิษผิดสำแดง
กลไกการออกฤทธิ์: รากทรงบาดาลมีสารเคมีกลุ่มแอนโทไซยานิน (anthocyanins) ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย
ประโยชน์ต่อสุขภาพ:
แก้พิษจากอาหารเป็นพิษ
แก้ท้องเสีย
แก้บิด
แก้ประดง
2. แก้สะอึก เนื่องจากกระเพาะอาหารขยายตัว
กลไกการออกฤทธิ์: ใบทรงบาดาลมีสารเคมีกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้าน spasmodic และช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
ประโยชน์ต่อสุขภาพ:
แก้สะอึก
แก้ท้องอืด
แก้แน่นท้อง
แก้ปวดท้อง
3. ขับลม
กลไกการออกฤทธิ์: ใบทรงบาดาลมีน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ขับลม
ประโยชน์ต่อสุขภาพ:
แก้ท้องอืด
แก้แน่นท้อง
แก้ปวดท้อง
4. แก้ปวดเมื่อย
กลไกการออกฤทธิ์: ใบทรงบาดาลมีสารเคมีกลุ่มซาโปนิน (saponins) ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และช่วยลดอาการปวด
ประโยชน์ต่อสุขภาพ:
แก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
แก้ปวดข้อ
แก้รูมาตอยด์
5. แก้ฝี
กลไกการออกฤทธิ์: ใบทรงบาดาลมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย และต้านการอักเสบ
ประโยชน์ต่อสุขภาพ:
แก้ฝี
แก้หนอง
แก้บวม
ข้อควรระวัง:
ไม่ควรรับประทานยาสมุนไพรทรงบาดาลติดต่อกันเป็นเวลานาน
สตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
ควรเลือกซื้อยาสมุนไพรทรงบาดาลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ | 20.การแพทย์ทางเลือก (alternative medicine),17.เภสัชวิทยา Pharmacology | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
|
Retail_50511 | Retail | อะไรคือเทรนด์ใหม่ของธุรกิจค้าปลีกในยุคปัจจุบัน? | จากบทความสรุปข่าวเด่นน่าสนใจประจำวันที่ 13 – 19 กรกฎาคม 2562 มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเทรนด์ใหม่ของธุรกิจค้าปลีกดังนี้
1. การให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม:
Starbucks เปิดตัว Tie-Day Frappuccino ขายแค่ 5 วันเท่านั้น เพื่อลดขยะเหลือใช้
เบียร์ Corona ส่ง ‘Fit Packs’ แพ็กเกจรักษ์โลก ให้ถือกระป๋องเบียร์ได้จำนวนมาก โดยไม่ต้องง้อถุงพลาสติก
Zara ขอ Go Green! ปรับไลน์การผลิต ใช้วัสดุที่ยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม 100% ภายในปี 2025
2. การตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป:
บิ๊กซี ช้อปปิ้ง ออนไลน์ คว้ารางวัล Best Operational Performance จาก Shopee แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของช่องทางออนไลน์
กสิกรไทย เปิดช่อง “QR Code ถอนเงินสด” ผ่านสาขาและเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วไทย ตอบโจทย์ Mobile First
ม.กรุงเทพ ทรานส์ฟอร์มการศึกษาไทย! เชื่อมโยง “Creativity + Technology” สร้างคนให้มีทักษะศตวรรษที่ 21
3. การใช้เทคโนโลยี:
YouTube เตรียมเพิ่มระบบ Memberships คิดค่าบริการรายเดือน หากต้องการรับชมคอนเทนต์
LINE MAN ประกาศรณรงค์การลดใช้ถุงพลาสติกร่วมสนับสนุนการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
ไวล์ดเอด จับมือแพลน บี มีเดีย ชวน #ฉลองไม่ฉลาม ผ่านสื่อดิจิตอล ย่านช้อปปิ้งชื่อดังเนื่องในวันรู้จักฉลาม
4. การขยายธุรกิจ:
Babi Mild ยกระดับตลาดออร์แกนิคไทย ด้วยความเชี่ยวชาญผสานความเข้าใจคุณแม่
Canon เปิดตัว “IVY REC” กล้องดีไซน์ใหม่ ตัวจิ๋ว ราคาเบา
มิลเลนเนียม ออโต้ แรงไม่หยุด เปิดตัว BMW 530e Elite ให้สัมผัสเป็นครั้งแรก
5. การแข่งขันที่รุนแรง:
ก็อปแล้วไง!! ทำความรู้จัก ‘Miniso’ ผู้มาเขย่าบัลลังก์ ‘MUJI’ และเตรียมเข้าระดมทุนในตลาดหุ้น
เสร็จนาฆ่าโคถึก…เสร็จศึกฆ่าขุนพล!!! เมื่อ Trump เตรียมสอบ Google ฐานทรยศ
6. การมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าเฉพาะ:
ทรูมูฟ เอช เอาใจคอเพลง ส่งโปรเด็ด ใช้ Apple Music ฟรี 6 เดือน
KFC Hong Kong ออก Bucket เก๋ๆ รับเทศกาลไหว้พระจันทร์
7. การให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้า:
Starbucks Now ร้านกาแฟสั่งด่วน โมเดลใหม่ตอบโจทย์คนไม่ชอบรอ
8. การปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย:
LINE MAN ประกาศรณรงค์การลดใช้ถุงพลาสติกร่วมสนับสนุนการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ชี้อสังหาฯ ไทยยังเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนต่างชาติ
จากเทรนด์เหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าธุรกิจค้าปลีกในยุคปัจจุบันต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจะต้อง:
ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม
ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
ใช้เทคโนโลยี
ขยายธุรกิจ
แข่งขันอย่างรุนแรง
มุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าเฉพาะ
ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้า
ปรับตัวให้เข้า | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
||
Retail_50764 | Retail | บริษัทใดที่ได้รับรางวัลสาขา Distributor Partner of The Year 2016 จากรางวัล Microsoft Partner Awards 2016 | a. ภัทร โปรเกรส
b. อินโนวิซ โซลูชั่นส์
c. บริษัท ไรป์ เทคโนโลยี
d. เดอะแวลลู ซิสเต็มส์
e. ไอที ซิตี้ | คำตอบคือ d. เพราะว่า เพราะบริษัท เดอะแวลลู ซิสเต็มส์ จำกัด ได้รับรางวัลสาขา Distributor Partner of The Year 2016 จากรางวัล Microsoft Partner Awards 2016
บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมฉลองความสำเร็จของพันธมิตรทางธุรกิจ ในงาน Microsoft Business Partners FY17 & Awards Presentation ภายใต้ธีม “Transformation in Action” ที่บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กรุงเทพฯ พร้อมมอบรางวัล Microsoft Partner Awards 2016 จำนวน 6 สาขา ให้แก่คู่ค้าที่ประสบความสำเร็จในการนำเสนอเทคโนโลยีและโซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพ ทั้งยังตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างโดดเด่นในยุคโมบายและคลาวด์
สำหรับในปี 2559 นี้ ไมโครซอฟท์มอบรางวัลใน 6 สาขา แก่คู่ค้าจำนวน 5 องค์กร โดยใช้เกณฑ์หลายด้านประกอบกันในการตัดสิน อาทิ ยอดจำหน่ายสินค้า ความเชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของไมโครซอฟท์ การปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีและโซลูชั่นไปสู่คลาวด์ การผสมผสานเทคโนโลยีคลาวด์ในการให้บริการลูกค้า การให้บริการคลาวด์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ความพึงพอใจของลูกค้าที่อยู่ในเกณฑ์สูงและมีความต่อเนื่อง และจากความคิดเห็นของพนักงานของไมโครซอฟท์
บริษัทที่ได้รับรางวัล Microsoft Partner Awards 2016 ในทั้ง 6 สาขา ได้แก่
1. รางวัล Enterprise Business Solution of The Year 2016 ได้แก่ บริษัท อินโนวิซ โซลูชั่นส์ จำกัด
2. รางวัล SMB Business Solution of The Year 2016 ได้แก่ บริษัท ภัทร โปรเกรส จำกัด
3. รางวัล Distributor Partner of The Year 2016 ได้แก่ บริษัท เดอะแวลลู ซิสเต็มส์ จำกัด
4. รางวัล Cloud Solution Partner (CSP) of The Year 2016 ได้แก่ บริษัท ไรป์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด
5. รางวัล Value Added Reseller Partner of The Year 2016 ได้แก่ บริษัท ภัทร โปรเกรส จำกัด
6. รางวัล Retail Partner of The Year 2016 ได้แก่ บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
|
Medical_12505 | Medical | จงช่วยสรุปบทความเรื่อง ไกลซีน ให้หน่อย | ไกลซีน Glycine ไกลซีนมีสรรพคุณ คุณสมบัติ อย่างไร ไกลซีนมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร ไกลซีนมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร ไกลซีนมีขนาดการบริหารยาอย่างไร เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร ไกลซีนมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร ข้อควรระวังการใช้ไกลซีนอย่างไร มีข้อควรระวังการใช้กรดฟีโนไฟบริกอย่างไร ไกลซีนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร ควรเก็บรักษาไกลซีนอย่างไร ไกลซีนมีชื่ออื่นอีกไหม ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง ยารักษาโรค Pharmaceutical drug ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดหัวใจ Coronary artery disease หัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะหัวใจเสียจังหวะ Arrhythmia โรคไต Kidney disease ยาฆ่าเชื้อ Antimicrobial drug ยาแก้อักเสบ Anti inflammatory drug ยาไกลซีน Glycine เป็นกรดอะมิโนหรือหน่วยย่อยของโปรตีนที่ร่างกายมนุษย์สามารถสัง เคราะห์ได้เองจากสารอาหารที่รับประทานเข้าไปเช่น เนื้อสัตว์และถั่วต่างๆ ยาไกลซีนถูกนำมาใช้ในทางคลินิกเพื่อรักษาอาการจิตเภท โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคต่อมลูกหมากโต บางกรณีถูกนำไปใช้ป้องกันไม่ให้ไตได้รับอันตรายจากยาต่างๆที่ผู้ป่วยรับประทานอยู่ บางกรณีใช้ยาไกลซีนทาที่ผิวหนังโดยตรงเพื่อบำบัดอาการของบาดแผล การออกฤทธิ์ของยาไกลซีนในร่างกายที่พบเห็นได้ง่ายจะเกิดที่สมอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการส่งสัญญาณของสารสื่อประสาท ทำให้เกิดการวิจัยการใช้ยาไกลซีนเพื่อช่วยฟื้นฟูความจำ และนำไปรักษาอาการของจิตเภท บางงานวิจัยจะพยายามใช้ยาไกลซีนรักษาอาการของโรคมะเร็งด้วยคุณสมบัติของไกลซีนที่ป้องกันการส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงเนื้อร้ายหรือเซลล์มะเร็งนั่นเอง นอกจากประโยชน์ด้านรักษาโรคแล้ว ยาไกลซีนยังก่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงในแง่มุมของสารอาหารด้วยเช่นกันเช่น ไกลซีนเป็นองค์ประกอบสำคัญในกระบวนการชีวะสังเคราะห์ของสาร Creatine ซึ่งเป็นสารตัวที่ผลักดันและเป็นแหล่งสนับสนุนพลังงานให้กับกล้ามเนื้อทำให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงและมีปริมาณมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น มีคุณสมบัติช่วยชะลอวัยด้วยจำนวน 1 ใน 3 ของคอลลาเจนในร่างกายประกอบด้วยไกลซีน คอลลาเจนเป็นกลุ่มโปรตีนจำเป็นที่ทำให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพันและผิวหนังมีความยืดหยุ่น จากงานวิจัยพบว่ายาไกลซีนมีคุณสมบัติป้องกันภาวะช็อกของร่างกายเช่น กรณีเกิดการเสียเลือดอีกด้วย ยาไกลซีนช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยการเจริญเติบโตของร่างกาย ทั้งนี้ ภาวะบางอย่างสามารถทำให้ร่างกายขาดสารไกลซีนได้เช่น ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบดูดซึมอาหาร การป่วยด้วยโรคมะเร็งหรือโรคเอดส์ ล้วนแล้วมีผลกระทบต่อสารไกลซีนในร่างกายทั้งสิ้น รูปแบบยาแผนปัจจุบันของยาไกลซีนมีลักษณะเป็นยาสารละลายน้ำปราศจากเชื้อโรคที่ใช้สวนล้างบาดแผลในระหว่างผ่าตัด ซึ่งมักพบการใช้ยาอยู่ในสถานพยาบาลเท่านั้น บางสูตรตำรับยาใช้ยาไกลซีนเป็นส่วนประกอบในยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานอีกด้วย ไกลซีนมีสรรพคุณ คุณสมบัติ อย่างไร ยาไกลซีนมีสรรพคุณข้อบ่งใช้โดยใช้เป็นเภสัชภัณฑ์ปราศจากเชื้อสำหรับสวนล้างทำความสะอาดระหว่างการผ่าตัดต่อมลูกหมากหรือผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะ ไกลซีนมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงกลไกการทำงานที่เด่นเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ใช้ล้างทำความสะอาดGlycine irrigation ระหว่างผ่าตัดเท่านั้น โดยยาสารละลายยาไกลซีนที่ปราศจากเชื้อเป็นสารที่ไม่ก่อให้เกิดพิษกับเนื้อเยื่อของร่างกาย ไม่ทำให้เม็ดเลือดแดงแตก ไม่ใช่สารละลายที่เหนียวข้น มีความใสใกล้เคียงกับน้ำ ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวทำให้สารละลายไกลซีนเหมาะสมที่จะใช้สวนล้างอวัยวะภายในระบบทางเดินปัสสาวะ และเหมาะในการล้างทำความสะอาดบาดแผลระหว่างการผ่าตัดต่อมลูกหมากหรือผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะ ไกลซีนมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร ยาไกลซีนมีรูปแบบการจัดจำหน่ายเป็น ยาสารละลายปราศจากเชื้อที่มีความเข้มข้น 1.5 ขนาดบรรจุ 2000 และ 4000 มิลลิลิตร เป็นส่วนประกอบในยาเม็ดชนิดรับประทานที่ผสมร่วมกับยาอื่นเช่น Aspirin 100 มิลลิกรัม Glycine 50 มิลลิกรัมเม็ด เช่น ยา Caparin ยาแก้อักเสบในกลุ่มยา NSAID ไกลซีนมีขนาดการบริหารยาอย่างไร ในบทความนี้ขอกล่าวถึงเฉพาะการบริหารยาการใช้ยาสารละลายไกลซีนเฉพาะที่ใช้สำหรับการสวนล้างในระหว่างการผ่าตัดเท่านั้น โดยให้ปฏิบัติตามคู่มือการใช้ที่แนบมากับผลิตภัณฑ์ประกอบกับใช้หัตถการที่มีมาตรฐานและเป็นไปตามคำสั่งแพทย์ การใช้สารละลายไกลซีนต้องอยู่ในสถานพยาบาลที่ควบคุมสภาพแวดล้อมเป็นอย่างดี ทั้งนี้เพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมถึงยาไกลซีนยาสารละลายไกลซีน ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์พยาบาลและเภสัชกรดังนี้ ประวัติแพ้ยาทุกชนิดเช่น กินยาใช้ยาแล้วคลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือแน่นหายใจติดขัดหายใจลำบาก มีโรคประจำตัวต่างๆรวมทั้งกำลังกินยาใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาไกลซีนยาสารละลายไกลซีนอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจจะเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กินอยู่ก่อน หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนมหรือรกและเข้าสู่ทารก จนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ ไกลซีนมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร ยาสารละลายไกลซีนสามารถก่อให้เกิดผลไม่พึงประสงค์ ผลข้างเคียงอาการข้างเคียง ดังนี้เช่น ทำให้เกิดภาวะเป็นกรดในบริเวณเนื้อเยื่อที่มีการสัมผัสกับสารละลายนี้จึงอาจก่อการระคายเคืองได้ อาจทำให้เกิดสภาวะปัสสาวะคั่ง มีอาการบวม และเกิดภาวะสูญเสียน้ำจากเซลล์ บางกรณีอาจทำให้เกิดภาวะของเหลวคั่งในถุงลมในปอดจนส่งผลให้หายใจไม่ออกหายใจลำบาก เกิดความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นผิดจังหวะ เจ็บหน้าอก ตาพร่า ชัก คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย วิงเวียน และเกิดลมพิษ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ายานี้ทำให้เกิดภาวะพร่องเกลือโซเดียมในร่างกาย และมีแอมโมเนียเพิ่มขึ้นในกระแสเลือดจนถึงขั้นเกิดอาการโคม่า กรณีที่แพทย์พบอาการข้างเคียงดังกล่าว แพทย์จะสั่งให้หยุดการใช้สารละลายไกลซีนและประเมินสถานการณ์ของการรักษาใหม่ มีข้อควรระวังการใช้ไกลซีนอย่างไร มีข้อควรระวังการใช้ยาสารละลายไกลซีนเช่น ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยานี้ ห้ามใช้สารละลายไกลซีนฉีดเข้าร่างกายผู้ป่วย ห้ามใช้สารละลายไกลซีนกับผู้ที่ปัสสาวะไม่ออก ห้ามใช้สารละลายไกลซีนหากพบว่าผลิตภัณฑ์มีสีที่แตกต่างไปจากเดิม เกิดตะกอน หรือภาชนะบรรจุฉีกขาด ห้ามอุ่นสารละลายไกลซีนเกินอุณหภูมิ 66 องศาเซลเซียส Celsius ระวังการใช้สารละลายไกลซีนกับผู้ที่มีภาวะโรคหัวใจอย่างรุนแรง หรือผู้ป่วยมีภาวะโรคไต หากร่างกายมีการดูดซึมสารละลายไกลซีนเข้าสู่กระแสเลือดเป็นปริมาณมาก อาจทำให้เกิดภาวะเกลือโซเดียมในเลือดต่ำ อาการเช่น มึนงง วิงเวียน ความดันโลหิตต่ำ โคม่า ได้ ดังนั้นการใช้สารละลายนี้ต้องคำนวณปริมาณการใช้อย่างเหมาะสมไม่มากเกินไปจนก่อผลเสียดังกล่าว หลังเปิดภาชนะบรรจุสารละลายไกลซีนควรใช้ทันทีไม่ควรเปิดทิ้งค้างไว้นาน เพราะอาจก่อให้เกิดการปนเปื้อนจากแบคทีเรียด้วยสารละลายชนิดนี้ไม่มีสารยับยั้งเชื้อที่เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ ห้ามใช้ยาหมดอายุ ห้ามเก็บยาหมดอายุ อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ยา ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด รวมสารละลายไกลซีนด้วย ยาแผนโบราณทุกชนิดและสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้งควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน ไกลซีนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร ปัจจุบันยังไม่มีรายงานพบปฏิกิริยาระหว่างยาของยาสารละลายไกลซีนกับยารับประทานใดๆ ควรเก็บรักษาไกลซีนอย่างไร ควรเก็บยาสารละลายไกลซีนภายใต้อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส Celsius เก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสงแดด | ไกลซีน เป็นกรดอะมิโนหรือหน่วยย่อยของโปรตีนที่ร่างกายมนุษย์สามารถสัง เคราะห์ได้เองจากสารอาหารที่รับประทานเข้าไปเช่น เนื้อสัตว์และถั่วต่างๆ ยาไกลซีนถูกนำมาใช้ในทางคลินิกเพื่อรักษาอาการจิตเภท โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคต่อมลูกหมากโต บางกรณีถูกนำไปใช้ป้องกันไม่ให้ไตได้รับอันตรายจากยาต่างๆที่ผู้ป่วยรับประทานอยู่ บางกรณีใช้ยาไกลซีนทาที่ผิวหนังโดยตรงเพื่อบำบัดอาการของบาดแผล การออกฤทธิ์ของยาไกลซีนในร่างกายที่พบเห็นได้ง่ายจะเกิดที่สมอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการส่งสัญญาณของสารสื่อประสาท ทำให้เกิดการวิจัยการใช้ยาไกลซีนเพื่อช่วยฟื้นฟูความจำ และนำไปรักษาอาการของจิตเภท บางงานวิจัยจะพยายามใช้ยาไกลซีนรักษาอาการของโรคมะเร็งด้วยคุณสมบัติของไกลซีนที่ป้องกันการส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงเนื้อร้ายหรือเซลล์มะเร็งนั่นเอง นอกจากประโยชน์ด้านรักษาโรคแล้ว ยาไกลซีนยังก่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงในแง่มุมของสารอาหารด้วยเช่นกันเช่น ไกลซีนเป็นองค์ประกอบสำคัญในกระบวนการชีวะสังเคราะห์ของสาร Creatine มีคุณสมบัติช่วยชะลอวัยด้วยจำนวน 1 ใน 3 ของคอลลาเจนในร่างกายประกอบด้วยไกลซีน ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงกลไกการทำงานที่เด่นเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ใช้ล้างทำความสะอาดGlycine irrigation ระหว่างผ่าตัดเท่านั้น โดยยาสารละลายยาไกลซีนที่ปราศจากเชื้อเป็นสารที่ไม่ก่อให้เกิดพิษกับเนื้อเยื่อของร่างกาย ไม่ทำให้เม็ดเลือดแดงแตก ไม่ใช่สารละลายที่เหนียวข้น มีความใสใกล้เคียงกับน้ำ เหมาะสมที่จะใช้สวนล้างอวัยวะภายในระบบทางเดินปัสสาวะ และเหมาะในการล้างทำความสะอาดบาดแผลระหว่างการผ่าตัดต่อมลูกหมากหรือผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะ ผลไม่พึงประสงค์ ทำให้เกิดภาวะเป็นกรดในบริเวณเนื้อเยื่อที่มีการสัมผัสกับสารละลายนี้จึงอาจก่อการระคายเคืองได้ อาจทำให้เกิดสภาวะปัสสาวะคั่ง มีอาการบวม และเกิดภาวะสูญเสียน้ำจากเซลล์ บางกรณีอาจทำให้เกิดภาวะของเหลวคั่งในถุงลมในปอดจนส่งผลให้หายใจไม่ออกหายใจลำบาก เกิดความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นผิดจังหวะ เจ็บหน้าอก ตาพร่า ชัก คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย วิงเวียน และเกิดลมพิษ | 12.อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,17.เภสัชวิทยา Pharmacology | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Medical_21663 | Medical | อะไรคือความเสี่ยงของการกินไข่ดิบ? | การกินไข่ดิบมีความเสี่ยงหลายประการ ดังนี้
1. การขาดสารอาหาร:
ไข่ดิบมีสารต้านไบโอติน (antibiotin albumen) และสารต้านโปรตีเอสจากตับอ่อน (antipancreas protease)
สารต้านไบโอตินสามารถรวมเข้ากับไบโอติน (biotin) ทำให้ร่างกายดูดซึมไบโอตินไม่ได้ ส่งผลต่อระบบเผาผลาญและระบบประสาท
สารต้านโปรตีเอสจากตับอ่อนจะขัดขวางการย่อยโปรตีน ทำให้ร่างกายได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ
2. ย่อยยาก:
โปรตีนในไข่ดิบมีโครงสร้างหนาแน่น ร่างกายดูดซึมได้ยาก
การย่อยไข่ดิบต้องใช้เอนไซม์มากกว่าไข่สุก
ไข่ดิบมีกลิ่นคาว ยับยั้งการทำงานของระบบย่อยอาหาร
3. อาหารเป็นพิษ:
ไข่ดิบอาจปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย เช่น ซัลโมเนลลา (Salmonella)
เชื้อแบคทีเรียเหล่านี้สามารถทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ ส่งผลให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และปวดท้อง
4. สารพิษ:
ไข่เน่ามีสารพิษที่เกิดจากการสลายตัวของสารอาหาร
การกินไข่เน่า แม้จะทำให้สุกแล้ว ก็อาจทำให้เกิดพิษต่อร่างกาย
สรุป:
ควรหลีกเลี่ยงการกินไข่ดิบ ควรกินไข่ที่ปรุงสุกเพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ
คำแนะนำเพิ่มเติม:
เลือกซื้อไข่จากแหล่งที่เชื่อถือได้
เก็บรักษาไข่ในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 4°C
ล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังสัมผัสไข่
ปรุงไข่ให้สุกก่อนกิน
ไม่ควรเก็บไข่ไว้ที่อุณหภูมิร้อนหรือชื้น
ไม่ควรกินไข่ที่เสีย | 19.สาธารณสุข (public health),12.อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
|
Retail_57063 | Retail | กลยุทธ์ EVOLVING TENANT MIX ของเมกาบางนา เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการดึงดูดลูกค้าหรือไม่? | ใช่ เหตุผล:
กลยุทธ์ EVOLVING TENANT MIX มุ่งเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนพัฒนา ร้านค้าให้ทันสมัยอยู่เสมอ สอดคล้องกับพฤติกรรมและกระแสนิยมของลูกค้า
เมกาบางนาตั้งใจสร้างศูนย์การค้า ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าทุกเจเนอเรชั่น และตอบโจทย์พฤติกรรมการช็อปปิ้งแบบ One-Stop Shopping Destination
เมกาบางนามี Key Anchor ใหญ่ถึง 5 แบรนด์ ที่ดึงดูดลูกค้า ได้แก่ อิเกีย โฮมโปร เซ็นทรัล@เมกาบางนา บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า และเมกา ซีนีเพล็กซ์
มีการปรับเปลี่ยน Positioning ของห้างเซ็นทรัล@เมกาบางนา เพื่อตอบโจทย์ Customer Profile ที่เปลี่ยนไป เน้นสินค้าและบริการในระดับพรีเมี่ยม
มีแผนในส่วนต่อขยายเพิ่มเติม
เมกาบางนา มีร้านค้าใหม่ ๆ ทยอยเข้ามาเปิดให้บริการอย่างต่อเนื่อง
มีแบรนด์ Premium Tier ตัดสินใจมาเปิดที่เมกาบางนา
อัตราการเช่าพื้นที่ของเมกาบางนาเต็มเกือบ 100% มาโดยตลอด
ตัวอย่างเพิ่มเติม:
เมกาบางนา มีการจัดกิจกรรมทางการตลาด
มีการปรับปรุงทัศนียภาพ และสิ่งอำนวยความสะดวก
มีการร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ
สรุป:
กลยุทธ์ EVOLVING TENANT MIX ของเมกาบางนา เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการดึงดูดลูกค้า กลยุทธ์นี้ช่วยให้เมกาบางนาสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ | Classification | cc-by-nc-4.0 |
||
Retail_53030 | Retail | แนวโน้มใด ไม่ส่งผลกระทบชัดเจนต่อนวัตกรรมสินค้าและบริการ | a. ความเป็นอิสระในการเลือกวิถีชีวิตของตนเอง (Personal Autonomy)
b. ประสบการณ์ผ่านประสาทสัมผัส (Sensorial Experiences) และสัมผัสที่ให้ความรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์ (The Human Touch)
c. พลังของชุมชน (Community Power)
d. ระบบบริการทางการเงินที่ลื่นไหล (Frictionless Finance) | คำตอบคือ b. เพราะว่า McCANN Truth Central ในเครือ แมคแคน เวิลด์กรุ๊ป ประเทศไทย (McCann Worldgroup) เผยผลการศึกษาล่าสุดในหัวข้อ “ความจริงเกี่ยวกับพรมแดนทางการเงิน” (The Truth about Financial Frontiers) ซึ่งชี้ให้เห็น 5 แนวโน้มสำคัญเกี่ยวกับผู้บริโภคที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของธุรกิจการให้บริการทางการเงินสำหรับรายย่อย (retail finance) และเขย่าวงการสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคตามธรรมเนียมเดิมๆ ที่เคยปฏิบัติกันมา ในการศึกษาครั้งนี้ 3 แนวโน้มแรก ได้แก่ ระบบบริการทางการเงินที่ลื่นไหล (Frictionless Finance) ความเป็นอิสระในการเลือกวิถีชีวิตของตนเอง (Personal Autonomy) และพลังของชุมชน (Community Power) ส่งผลกระทบชัดเจนต่อนวัตกรรมสินค้าและบริการ ในขณะที่ประสบการณ์ผ่านประสาทสัมผัส (Sensorial Experiences) และสัมผัสที่ให้ความรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์ (The Human Touch) มีอิทธิพลต่อการสร้างความรู้สึกที่มีต่อแบรนด์ ทั้งหมดมีความสำคัญต่อแบรนด์ของผู้ให้บริการทางการเงินที่มุ่งชี้นำและกำหนดรูปแบบของอุตสาหกรรมนี้ | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
|
Medical_31107 | Medical | สาเหตุใดที่ทำให้ผู้ป่วยบางรายรักษาโรคไม่หาย? | อาการเจ็บป่วยบางสาเหตุที่รักษาไม่หายนั้น บางครั้งขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้ป่วยเอง เพราะบางคนมักจะหลีกเลี่ยงการทานยาด้วยความไม่ชอบ หรือ ไม่ได้มีความเอาใจใส่มากพอที่จะทานยาให้ตรงเวลา หรือการไม่ไปพบแพทย์เพื่อรับยาอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นสาเหตุที่จะทำให้โรคภัยต่างๆ ลุกลามและรักษาหายยากมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้จักการใช้ยาที่ถูกต้อง ซึ่งก็จะทำให้การรักษาไม่ได้ผลเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย จึงควรใช้ยาให้ถูกหลักการ ดังนี้ ใช้ยาให้ถูกโรค คือ ใช้ยาให้ตรงกับโรคที่เป็น ควรจะให้แพทย์หรือเภสัชกรผู้รู้เป็นผู้จัดให้ เราไม่ควรซื้อยาหรือใช้ยาตามคำบอกเล่าของคนอื่น หรือ หลงเชื่อคำโฆษณาต่างๆ เพราะหากใช้ยาไม่ถูกกับโรค อาจจะทำให้ได้รับอันตรายจากยานั้นได้ หรือไม่ได้ผลในการรักษา และยังอาจเกิดโรคอื่นๆ แทรกซ้อน ใช้ยาให้ถูกคน คือ ต้องดูให้ละเอียดก่อนใช้ยาว่า ยาชนิดใดใช้กับใคร เพศ อายุ เพราะอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของคนแต่ละเพศแต่ละวัยมีความแตกต่างกัน รวมถึงสตรีมีครรภ์ก็ต้องคำนึงถึงทารกในครรภ์ด้วย เพราะยาหลายชนิดสามารถผ่านจากแม่ไปสู่เด็กในครรภ์ได้ อาจมีผลทำให้เด็กที่คลอดออกมาพิการ การใช้ยาในสตรีมีครรภ์จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ใช้ยาให้ถูกเวลา คือ ช่วงเวลาในการรับประทานยาหรือการนำยาเข้าสู่ร่างกายด้วยวิธีอื่นๆ เพื่อให้ปริมาณยาในกระแสเลือดมีมากพอ ในการบำบัดรักษาโดยไม่เกิดพิษและไม่น้อยเกินไปจนไม่สามารถรักษาโรคได้ ยาก่อนอาหารต้องรับประทานอย่างน้อยก่อนครึ่งชั่วโมง เพื่อให้ยาถูกดูดซึม ถ้าลืมกินยาในช่วงดังกล่าวให้กินเมื่ออาหารมื้อนั้นผ่านไปแล้วอย่างน้อย 2 ชั่วโมง ยาที่รับประทานหลังอาหาร โดยทั่วไปจะให้รับประทานอาหารทันทีหรือหลังอาหาร 15 นาทีเพื่อให้เกิดการดูดซึมร่วมกับอาหารในลำไส้เล็ก ส่วนยาก่อนนอนให้รับประทานหลังอาหารมือเย็นแล้วประมาณ 3-4 ชั่วโมง ใช้ยาให้ถูกขนาด คือ การใช้ยาจะต้องไม่มากหรือน้อยเกินไป ต้องให้ถูกขนาดตามแพทย์สั่งจึงจะได้ผลดีในการรักษา ใช้ยาให้ถูกวิธี เนื่องจากการนำยาเข้าสู่ร่างกายมีหลายวิธี เช่น การกิน การฉีด ซึ่งการใช้วิธีใดก็ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของยานั้นๆ ดังนั้นก่อนใช้ยาต้องอ่านฉลากแนะนำการใช้ก่อนทุกครั้ง อย่างไรก็ตามทั้งนี้โรคต่างๆ จะหายไปถ้าเราเรียนรู้ที่จะรักตัวเองและมีวินัยในการดูแลตนเอง และหมั่นทานยาอยางเคร่งครัดถูกต้องตรงต่อเวลา เพื่อสุขภาพที่ดีของเราทุกคน ข้อมูลจาก เอกสารแจกภายในโรงพยาบาลรามาธิบดี | สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ผู้ป่วยบางรายรักษาโรคไม่หาย มีดังนี้
1. พฤติกรรมของผู้ป่วย
ไม่ทานยาตามแพทย์สั่ง:
ผู้ป่วยบางรายอาจไม่ชอบทานยา หรือ รู้สึกเบื่อหน่ายกับการทานยาเป็นเวลานาน
ผู้ป่วยบางรายอาจลืมทานยา หรือ ทานยาไม่ตรงเวลา
ผู้ป่วยบางรายอาจทานยาไม่ครบตามจำนวนที่แพทย์สั่ง
ไม่ไปพบแพทย์เพื่อรับยาอย่างต่อเนื่อง:
ผู้ป่วยบางรายอาจละเลยการไปพบแพทย์ตามนัด
ผู้ป่วยบางรายอาจขาดแคลนทุนทรัพย์
ผู้ป่วยบางรายอาจอาศัยอยู่ห่างไกลจากสถานพยาบาล
ใช้ยาไม่ถูกต้อง:
ผู้ป่วยบางรายอาจใช้ยาไม่ตรงกับโรคที่เป็น
ผู้ป่วยบางรายอาจใช้ยาที่ไม่เหมาะสมกับเพศ อายุ หรือ สภาพร่างกาย
ผู้ป่วยบางรายอาจใช้ยาในปริมาณที่มากหรือน้อยเกินไป
ผู้ป่วยบางรายอาจใช้ยาไม่ถูกวิธี
2. สาเหตุอื่นๆ
โรคบางชนิดรักษาไม่หายขาด:
โรคบางชนิด เช่น โรคเรื้อรัง โรคทางพันธุกรรม เป็นต้น ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
แพทย์สามารถรักษาได้เพียงควบคุมอาการของโรคไม่ให้กำเริบรุนแรง
ผู้ป่วยมีโรคประจำตัว:
ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น
ร่างกายอาจไม่สามารถตอบสนองต่อยาได้ดีเท่าผู้ป่วยทั่วไป
ยาที่ใช้รักษามีผลข้างเคียง:
ยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงที่รุนแรง
ผู้ป่วยอาจต้องหยุดทานยา
ส่งผลต่อการรักษาโรค
อย่างไรก็ตาม การรักษาโรคให้หายขาด ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชนิดของโรค ความรุนแรงของโรค สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย พฤติกรรมของผู้ป่วย การเข้าถึงการรักษา
การป้องกันไม่ให้เกิดโรค
ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
ทานอาหารที่มีประโยชน์
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
พักผ่อนให้เพียงพอ
ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์
ปรึกษาแพทย์เมื่อรู้สึกไม่สบาย
หากเป็นโรค ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง
ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ทานยาตามแพทย์สั่ง
ไปพบแพทย์ตามนัด
แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว ยา และอาหารเสริมที่ทาน
ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยา | 12.อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,28.อื่น ๆ | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_37132 | Retail | Super Human | การสร้างการเติบโตทางธุรกิจ เป็นสิ่งที่ทุกองค์กรให้ความสำคัญ แต่การสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าสำหรับโลกอนาคต ด้วยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งทางธุรกิจ รวมถึงพัฒนาบุคลากร เนื่องในโอกาสครบรอบ 55 ปี สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จึงได้จัดงาน TMA Thailand Management Day 2019 ภายใต้แนวคิด GROWTH: Building for the Future เพื่อมุ่งเน้นให้ทุกองค์กรเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาทางการตลาด และนำไปสู่หนทางการเติบโตที่ยั่งยืนในทุกมิติ โดยเชิญบรรดากูรูต่างๆ ทั้งนักอนาคต และนักการตลาดมาเผยมุมมองเทรนด์แห่งโลกอนาคต ซึ่งจะเป็นโอกาสให้องค์กรต่างๆ ได้ปรับตัว และใช้เป็นแนวทางการทำงานต่อไป มร. มาร์ติน วีซอฟสกี้ ประธานกรรมการบริหาร ด้านการออกแบบและนักอนาคตศาสตร์ ศูนย์นวัตกรรมของ SAP ผู้ซึ่งติดอันดับ 1 ใน 100 คนที่มีความคิดด้านนวัตกรรมในประเทศเยอรมนี กล่าวว่า เทคโนโลยี AI จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอนาคต เพราะ AI มีขีดความสามารถที่แผ่ขยายไปได้กว้างมาก และเป็นอะไรได้มากกว่าที่เราคิดในปัจจุบัน “เพราะปัจจุบันเริ่มมีการบรรจบกันของเทคโนโลยีที่ทำให้จินตนาการที่เราคิดเป็นจริงได้ และจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันโดยไม่คาดฝัน ยกตัวอย่างตุ๊กตาเพียงหนึ่งตัวสามารถพูดโต้ตอบกับมนุษย์ได้ ทั้งยังบันทึกเหตุการณ์ผ่านกล้องและเซ็นเซอร์ที่ติดไว้ที่ตาของตุ๊กตา เชื่อม WIFI สามารถโทรไปสั่งอาหารแล้วส่งทางโดรนให้กับเด็กที่เล่นตุ๊กตาแล้วหิว หรือแม้กระทั่งส่งข้อมูลไปยังผู้ปกครองหรือตำรวจในกรณีเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง จะเห็นได้ว่า Ecosystem ที่เกิดขึ้นกับสินค้าอย่างตุ๊กตาดังกล่าวมีหลายธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง และสามารถต่อยอดทางธุรกิจไปได้อีกหลายรูปแบบ” กับกระแสการท่องเที่ยวอวกาศที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ปัจจุบันมีหลายธุรกิจกำลังเกิดขึ้นมารองรับตลาดการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ดังกล่าว เช่น สตาร์ทอัพรายหนึ่งในยุโรปที่ใช้จรวดในการเก็บสะเก็ดดวงดาวนำมาวิเคราะห์หาเชื้อเพลิงไว้ใช้ในยามท่องอวกาศ หรือแม้แต่การทำเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมบนดาวต่างๆ ด้วย นี่เป็นแค่ตัวอย่างที่ มร.มาร์ติน หยิบยกขึ้นมาเพื่อสร้างให้ทุกคนฉุกคิด แต่จุดเริ่มต้นเพื่อที่จะไปให้ถึงอนาคตตามจินตนาการให้ได้นั้นจำเป็นต้องมาจากการการออกแบบอนาคตเสียก่อน “การออกแบบอนาคตมาจากการจินตนาการ ซึ่งผมคิดว่าจินตนาการควรเป็นกิจกรรมทางธุรกิจ เพราะจะทำให้เราสร้างอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาได้ อย่างเช่นปัญญาของเครื่องกลในวันนี้ที่เราเห็นกันล้วนมาจากสิ่งที่มนุษย์จินตนาการเมื่อหลายสิบปีก่อน ดังนั้นหน้าที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ทุกคนคือ การตั้งคำถามในทุกๆ วันที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้าว่า อะไรคืออนาคต หรืออนาคตควรมีหน้าตาแบบไหน” มร.มาร์ติน ชี้ว่า AI จะเป็นเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเพิ่มโอกาสให้กับธุรกิจในอนาคต คือ AI เหมือนที่เวลานี้วงการแพทย์ได้นำ AI เข้ามาสนับสนุนการทำงานของแพทย์ และได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ทำงานได้ดีกว่าแพทย์ในบางสาขา เพราะ AI มีความสามารถในการจดจำเคสการเจ็บป่วย ประวัติการรักษาคนไข้ได้ดีกว่า และสามารถนำบิ๊กดาต้ามาวิเคราะห์ข้อมูลความเจ็บป่วยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นี่จึงเป็นช่องทางที่ชี้ให้เห็นว่า องค์กรต่างๆ สามารถนำเทคโนโลยี AI มาปรับใช้ในการองค์กรให้เป็นตัวช่วยหรือส่งเสริมการทำงาน Manual Work ของพนักงาน ซึ่งจะทำให้พนักงาน Work Force กลายเป็น Super Human ที่มีเวลาหรือใช้สมองไว้สำหรับการเสาะหา หรือ Explore อะไรใหม่ๆ หรือแก้ปัญหาใหม่ๆ ให้กับองค์กรได้มากขึ้น แน่นอนว่า Super Human เหล่านี้ก็จะต้องคาดการณ์อนาคตว่า ลูกค้าคือใครและมีความต้องการอย่างไรในอนาคต รวมถึงตั้งคำถามของพันธมิตรในอนาคตว่าจะเป็นใครด้วย เพื่อที่จะได้ร่วมมือกันกำหนดอนาคตให้ได้ผลลัพธ์ที่เร็วขึ้นกว่าเดิม “ภายใน 10 ปีข้างหน้านี้องค์กรต่างๆ ต้องหาวิธีที่จะนำเทคโนโลยี AI มาทำงานร่วมทำงานกับมนุษย์ผ่านแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยี ให้เกิดการพึ่งพาอาศัยกันทั้งในแง่ความคิดและตัดสินใจ เพื่อที่พนักงานจะได้เอาทักษะของมนุษย์ไปผลิตอะไรอย่างอื่นเพิ่มขึ้น” อย่างไรก็ดี มร.มาร์ติน กล่าวว่า ความสามารถในการกำหนดหรือออกแบบอนาคตขององค์กรต่างๆ ขึ้นอยู่กับพื้นฐานอันแข็งแกร่งที่องค์กรมี ไม่ว่าจะเป็นองค์กรความรู้ ทรัพยากร และคุณภาพของพนักงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่องค์กรจำเป็นต้องเตรียมตัวในเรื่องนี้ให้พร้อมที่จะวางแผน สำรวจ และเสาะหา ซึ่งโมเดลการทำงานลักษณะนี้ไม่จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายสูงเสมอไป หากใช้วิธีพลาดให้เร็วที่สุดแล้วลุกขึ้นให้เร็วที่สุด (Fast Fail, Fast Forward) เพื่อไปถึงเป้าหมายในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น สำหรับในประเทศไทย ที่ผ่านมาพบว่าอุตสาหกรรมการเงิน และการสื่อสารโทรคมนาคม เป็น 2 อุตสาหกรรมที่ถูก Digital Disruption อย่างรุนแรง “เอสซีบี อบาคัส” และ “ทรู คอร์ปอเรชั่น” ในฐานะตัวแทนที่มาจากอุตสาหกรรมดังกล่าว ก็ได้เข้ามาร่วมแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับการทำงานเพื่อไม่ให้องค์กรถูก Disrupt ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี อบาคัส จำกัด กล่าวถึงเทรนด์การแข่งขันในอีก 2-3 ปีข้างหน้าว่าจะมาจากทุกทิศทุกทาง โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติอย่างจีนและสหรัฐอเมริกา ที่มองเห็นโอกาสในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่ายังไม่มีใครเป็นเจ้าตลาดดิจิทัลแพลตฟอร์ม และด้วยความที่บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งของจีน และสหรัฐมีศักยภาพในการเข้าถึงข้อมูลลูกค้าก็จะกลายเป็น Player ที่เข้ามากินตลาดในธุรกิจต่างๆ ของไทย เหมือนอย่างที่ Amazon มี Market Power มากพอที่จะไปกินตลาดอื่นๆ “คู่แข่งที่น่ากลัวคือ คู่แข่งที่เราไม่รู้จักก่อน ดังนั้นองค์กรต่างๆ ควรสร้าง Digital Capability เริ่มจากหาจุดแข็งขององค์กรให้เจอเพื่อตั้งโจทย์ทางธุรกิจถึงสิ่งที่จะเดลิเวอร์ให้กับผู้บริโภค และสร้างคนให้มีจิตวิญญาณของการทดลอง ที่สำคัญต้องหาพันธมิตรผนึกกำลังช่วยกันวางแผนเพื่อที่จะเกิดการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีให้เร็วยิ่งกว่าเดิม และทันกับการแข่งขันที่เปลี่ยนไป” ทางด้านคุณพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา หัวหน้าคณะผู้บริหาร ด้านคอนเทนต์และมีเดีย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวแนะนำเทคโนโลยีที่สำคัญในอนาคตว่า องค์กรต้องมีการสะสม Big Data อย่างเป็นระบบ และเพิ่ม Data Asset ด้วยการจับมือกับพันธมิตร ทางหนึ่งเพื่อสู้กับ Big Data ของ Player ข้ามชาติที่มีมากกว่า และยังเป็นการใช้ข้อมูลส่งต่อไปให้กับ AI ในการวิเคราะห์ อีกเทรนด์หนึ่ง คือ 5G ที่ทุกบริษัทต้องเข้าใจเพื่อนำมาปรับใช้ในอุตสาหกรรมตัวเอง ซึ่งการให้ความสำคัญใน 3 เทคโนโลยีดังกล่าวจะเป็นหนทางไปสู่ Customer Experience ทั้งในแง่ Functional Benefit และ Emotional Benefit “องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องปรับโครงการการทำงานให้เป็น Micro Organization โดยอาจใช้ AI เข้ามาช่วยทุ่นแรง และแบ่งธุรกิจออกเป็นเสี้ยวๆ ปลุกองค์กรให้ตื่นจาก Legacy ในอดีต แล้วทำงานแบบสตาร์ทอัพ และมี Agility ที่สำคัญต้องสร้าง Mindset ในการทำลองทำสิ่งใหม่ๆ อย่างมีจุดหมาย ถ้าไม่ถึงจุดหมายจะทำยังไง จะหยุดหรือหาพาร์ทเนอร์ที่ทำเป็น ซึ่งการหาพาร์ทเนอร์เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะสำคัญมากขึ้นในอนาคต นอกจากจะช่วยเสริมในสิ่งที่เราไม่ถนัดแล้ว ยังสามารถร่วมกันสร้างธุรกิจใหม่ได้ด้วย เหมือนอย่างที่เราเห็นการจับมือกันข้ามธุรกิจระหว่างค้าปลีก และเกมมิ่ง หรืออีคอมเมิร์ซกับแฟชั่น กลายเป็นธุรกิจใหม่แห่งโลกอนาคต” ดร. สุทธาภา กล่าวทิ้งท้าย
| Open QA | cc-by-nc-4.0 |
||
Retail_54569 | Retail | ในฐานะผู้บริหารธุรกิจค้าปลีกยุคใหม่ ควรมีกลยุทธ์อย่างไร ในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า | จากบทความ "ทีเอ็มบี จัดงาน “Drink & Dine Exclusive Party by TMB” เพื่ออัพเดทเทรนด์ดิจิทัลและโซลูชั่นสำหรับลูกค้าธุรกิจ" ได้กล่าวถึงเทรนด์ดิจิทัลในโลกธุรกิจ และโซลูชั่นของทีเอ็มบีดิจิทัลแบงกิ้งสำหรับลูกค้าธุรกิจ ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจค้าปลีก ดังนี้
1. การชำระเงินแบบดิจิทัล:
Mobile Payment: ลูกค้าสามารถชำระเงินผ่านแอปพลิเคชั่นบนมือถือ สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย
QR Code Payment: ร้านค้าสามารถติดตั้ง QR Code เพื่อให้ลูกค้าสแกนชำระเงิน
Cashless Society: สนับสนุนสังคมไร้เงินสด ลดการใช้เงินสด
2. การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า:
Big Data: เก็บข้อมูลลูกค้า วิเคราะห์พฤติกรรม ความต้องการ
Targeted Marketing: นำเสนอสินค้า บริการ ตรงใจลูกค้า
Customer Relationship Management: บริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า
3. การสื่อสารออนไลน์:
Social Media Marketing: สื่อสาร ประชาสัมพันธ์ ผ่านโซเชียลมีเดีย
Online Advertising: โฆษณาออนไลน์ เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
E-Commerce: ขายสินค้าออนไลน์ เพิ่มช่องทางจำหน่าย
4. การบริการอัจฉริยะ:
Artificial Intelligence (AI): นำ AI มาใช้ พัฒนาบริการ ตอบสนองความต้องการลูกค้า
Chatbot: พัฒนาระบบตอบคำถามอัตโนมัติ ให้บริการลูกค้า
Personalized Experience: มอบประสบการณ์เฉพาะบุคคล สร้างความประทับใจ
ตัวอย่างกลยุทธ์สำหรับธุรกิจค้าปลีก
**พัฒนาระบบ Mobile Application ให้ลูกค้าสามารถชำระเงิน ตรวจสอบสินค้า โปรโมชั่น สะสมแต้ม
**นำ Big Data มาวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า เพื่อนำเสนอสินค้า บริการ ตรงใจ
**สร้าง Content บน Social Media ดึงดูดลูกค้า สร้าง Engagement
**พัฒนาระบบ Chatbot ตอบคำถาม ให้บริการลูกค้า
**นำ AI มาใช้ วิเคราะห์ภาพ แนะนำสินค้า ให้ลูกค้า | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
||
Medical_20834 | Medical | ช่วยสรุปบทความ รายการอาหารเช้า ให้หน่อย | ตัวดิฉันทำงานใกล้บ้านส่วนสามีทำงานไกลกว่าหลายสิบกิโลเมตร และลูกชายอยู่มัธยมปลายก็ไปเรียนใกล้ที่ทำงานของสามี ทั้งสามีและลูกไม่คอยชอบกินอาหารเช้า บอกว่ากลัวรถติดต้องรีบออกจากบ้าน ทั้งๆที่พยายามเตรียมอาหารเช้าง่ายๆ ให้กิน รวมถึงเน้นประโยชน์ของอาหารเช้าก็ไม่ค่อยได้ผล ดิฉันอยากได้รายการอาหารที่หลากหลายเพื่อจะได้กระตุ้นเตือนให้สามีและลูกสนใจกินอาหารเช้าบ้าง ตอบ อาจารย์รุ่งรัตน์ แจ่มจันทร์ เรื่องอาหารเช้า นิตรยสารหมอเช้าบ้าน ฉบับที่ ๓๗๕ เดือน กรกฏาคม พศ ๒๕๕๓ เคยตีพิมพ์ไปแล้ว อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ ซึ่งจำเป็นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มื้อเช้าเป็นมื้อแรกของวันก่อนที่ร่างกายต้องใช้พลังงานและทำกิจกรรมต่างๆในแต่ละวัน อาหารมื้อเช้าจำเป็นต่อสมองและอวัยวะต่างๆคนวัยทำงานหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าการงดอาหารเช้าจะช่วยทำให้น้ำหนักตัวลดลง จริงๆแล้วการกินอาหารเช้าทุกวันจะทำให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด บางคนอาจคิดว่าอาหารเช้าเป็นมื้อที่ยุ่งยาก เสียเวลา โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานนอกบ้าน มีภารกิจที่รีบเร่งต้องแข่งกับเวลา มักเป็นเหตุผลที่ทำให้คนส่วนใหญ่งดหรืออดอาหารเช้าไปอย่างน่าเสียดายนอกจากนี้การขาดอาหารเช้าอาจจะทำให้รู้สึกหงุดหงิดอารมณ์เสียง่ายอีกด้วย มีงานวิจัยหลายชิ้น รายงานว่าการกินอาหารเช้าเพิ่มพลังให้กับสมอง มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้กินอาหารเช้า อาหารมื้อเช้าจะมีประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพได้นั้น จะต้องกินอาหารให้ครบถ้วนเพียงพอครบ ๕ หมู่ เพื่อให้ได้สารอาหารครบตามที่ร่างกายต้องการ และควรกินหลากหลายไม่จำเจ หลายคนที่ไม่ได้กินอาหารเช้าเท่ากับพลาดอาหารสมองที่สำคัญของมื้ออย่างน่าเสียดาย
ในแต่ละวันเราต้องการพลังงานจากอาหาร โดยมีสัดส่วนของพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตร้อยละ ๕๕-๖๐ ไขมันร้อยละ ๒๕-๓๐ และโปรตีนร้อยละ ๑๐-๑๕ อาหารเช้าที่คนนิยมกินส่วนมาก ได้แก่ ข้าวมันไก่ ขนมปังทาเนย ปาท่องโก๋ ข้าวต้มหมู โจ๊กหมู ข้าวต้มกุ้ง แซนด์วิชแฮม ข้าวเหนียวหมูปิ้ง กาแฟ และเครื่องดื่มรสช็อกโกแลต ดังกล่าวให้คุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้ รายการอาหาร พลังงาน กิโลเเคลอรี คาร์โบไฮเดรต กรัม ไขมัน กรัม โปรตีน กรัม ปริมาณ ๑ หน่วยบริโภค ข้าวมันไก่ ๑ จาน ๔๐๒๔๕ ๖๐๓๐ ๙๙๐ ๑๘๐๓ ๑ จาน ๒๓๐ กรัม ขนมปังทาเนย ๑ แผ่น ๑๑๐๐๔ ๑๔๔๙ ๔๒๙ ๓๓๔ ๑ แผ่น ๓๒ กรัม เนย ๓ กรัม ปาท่องโก๋ ๑ ตัว ๓๒ กรัม ๑๔๓๖๘ ๑๔๘๒ ๘๔๘ ๑๔๑ ๑ ตัว ๒ ขา ข้าวต้มหมู ๑ ชาม ๓๐๓๘๙ ๓๙๑๒ ๑๐๘๐ ๑๒๔๘ ๑ ชาม ๑๘๐กรัม ข้าวต้มกุ้ง ๑ ชาม ๒๓๐๓๙ ๓๘๙๗ ๒๙๗ ๑๑๔๘ ๑ ชาม ๑๘๐กรัม ข้าวเหนียว หมูปิ้ง ๒๕๙๘๙ ๔๒๐๖ ๔๗๔ ๑๑๗๕ ข้าวเหนียวนึ่ง ๘๐ กรัมหมูปิ้ง ๔ ชิ้น นมจืด ๑ แก้ว ๑๖๗๕๐ ๑๒๒๕ ๙๕๐ ๘๒๕ ๑ แก้ว ๒๕๐ ซีซี นมถั่วเหลือง ๑ แก้ว ๒๐๒๕๐ ๒๕๐๐ ๘๗๕ ๖๒๕ ๑ แก้ว ๒๕๐ ซีซี แซนด์วิชแฮม ๘๒ กรัม ๑๓๓๑๗ ๑๖๐๕ ๔๙๔ ๖๑๒ ขนมปัง ๑ แผ่น แฮม ครีมสลัด ๘๒ กรัม น้ำส้ม ๑๐๐ ๑๒๓๑๗ ๒๙๐๔ ๐๒๒ ๑๓๒ ๑ แก้ว ๒๕๐ ซีซี กาแฟผง ๓ in ๑ ๗๙๕๙ ๑๔๗๐ ๒๓๐ ๐๓๔ เครื่องดื่มรสช็อกโกแลต ๓ in ๑ ผง ๑๕๐๐๐ ๒๔๐๐ ๔๐๐ ๔๐๐ โจ๊กหมู ๑ ชาม ๓๐๙๒๓ ๔๔๗๗ ๗๘๕ ๑๔๗๔ ๑ ชาม ๒๔๕กรัม คำนวณโดยใช้โปรแกรม INMUCAL ของสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ดังนั้น ขอนำรายการอาหารลงตีพิมพ์ซ้ำบางส่วน เพื่อให้ผู้อ่านท่านอื่นๆที่สนใจเรื่องการกินอาหารเช้าได้รับรู้ด้วย การกินอาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ เป็นผลดีต่อสุขภาพและร่างกาย แต่ควรเป็นอาหารเช้าที่มีคุณภาพ ถูกหลักโภชนาการครบ ๕ หมู่ ในปริมาณที่พอเพียงกับความต้องการของร่างกายที่หลากหลาย | อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดต่อสุขภาพของร่างกาย การกินอาหารเช้ามีประโยชน์มากมายเช่น เพิ่มพลังงานสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ และกระตุ้นสมองให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การกินอาหารเช้ายังช่วยลดความหิวตลอดวัน และมีผลดีต่อสุขภาพจิต นอกจากนี้ การที่คนบางคนไม่กินอาหารเช้าอาจทำให้รู้สึกหงุดหงิดและมีอารมณ์เสียได้ จึงควรให้ความสำคัญและควรกินอาหารเช้าอย่างครบถ้วน และหลากหลาย ตัวอย่างอาหารที่ครบถ้วนคือ 5 หมู่ ซึ่งจะทำให้ได้สารอาหารครบทุกรูปแบบที่ร่างกายต้องการ
ความสำคัญของการบริโภคอาหารเช้าที่มีคุณภาพและครบถ้วนทางโภชนาการ โดยมีสัดส่วนของพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต 55-60%, ไขมัน 25-30% และโปรตีน 10-15% ในอาหารเช้าที่คนนิยมกิน เช่น ข้าวมันไก่, ขนมปังทาเนย, ปาท่องโก๋, ข้าวต้มหมู, โจ๊กหมู, ข้าวต้มกุ้ง, แซนด์วิชแฮม, ข้าวเหนียวหมูปิ้ง, กาแฟ และช็อกโกแลต คำนวณโดยใช้โปรแกรม INMUCAL ของสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อให้ผู้อ่านท่านอื่นๆที่สนใจเรื่องการกินอาหารเช้าได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เน้นความสำคัญของการบริโภคอาหารเช้าที่มีคุณภาพตามหลักโภชนาการครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกายที่หลากหลาย | 12.อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Medical_24260 | Medical | อาการแดงที่เกิดขึ้นเฉพาะที่ กดแล้วซีดลง มักเกิดจากโรคผิวหนังเสมอไป | ไม่ เหตุผล:
อาการแดงที่เกิดขึ้นเฉพาะที่ กดแล้วซีดลง สามารถเกิดจากหลายสาเหตุ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่โรคผิวหนังเท่านั้น สาเหตุที่เป็นไปได้มีดังนี้:
1. โรคผิวหนัง:
ผื่นแพ้สัมผัส: เกิดจากการสัมผัสสารระคายเคืองหรือสารก่อภูมิแพ้ เช่น สบู่ น้ำยาซักผ้า เครื่องสำอาง ยาง โลหะ เกสรดอกไม้ ฯลฯ
โรคผิวหนังอักเสบ: เกิดจากการอักเสบของผิวหนัง มักมีอาการคัน ผื่นแดง ตุ่มนูน น้ำเหลืองไหล
โรคสะเก็ดเงิน: โรคเรื้อรังที่ทำให้เกิดผื่นแดง ลอกเป็นขุย มักพบที่หนังศีรษะ ข้อศอก เข่า
โรคเริม: เกิดจากเชื้อไวรัส herpes simplex มักมีอาการเป็นตุ่มใส คัน เจ็บแสบ
2. หลอดเลือดขยายตัว:
อุณหภูมิ: อากาศร้อน การอาบน้ำอุ่น การดื่มเครื่องดื่มร้อน
อารมณ์: ความเขินอาย ความโกรธ ความวิตกกังวล
ยาบางชนิด: ยาขยายหลอดเลือด ยาแก้ปวด ยาต้านเศร้า
ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนสูง
3. สาเหตุอื่นๆ:
การติดเชื้อ: เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส
ภาวะเลือดออก: เกิดจากการกระทบกระแทก การฉีกขาดของหลอดเลือด
มะเร็งผิวหนัง: มักมีอาการเป็นก้อนเนื้อ ผิวหนังเปลี่ยนสี แผลเรื้อรัง
ดังนั้น การวินิจฉัยสาเหตุของอาการแดงที่เกิดขึ้นเฉพาะที่ กดแล้วซีดลง จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ประวัติอาการ ลักษณะของรอยแดง ตำแหน่งที่เกิด โรคประจำตัว ยาที่ใช้ ฯลฯ แพทย์อาจทำการตรวจร่างกายเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจชิ้นเนื้อ เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด
สรุป: อาการแดงที่เกิดขึ้นเฉพาะที่ กดแล้วซีดลง ไม่ได้บ่งบอกถึงโรคผิวหนังเสมอไป ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่เป็นไปได้อีกมาก การวินิจฉัยที่ถูกต้องจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลอื่นๆ ร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง | 14.ผิวหนัง Dermatology | Classification | cc-by-nc-4.0 |
|
Retail_50368 | Retail | โมเดลธุรกิจแบบ Samsung AI Retail เหมาะกับธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมหรือไม่? | มีโอกาส ที่โมเดลธุรกิจแบบ Samsung AI Retail จะเหมาะกับธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม ด้านบวก:
โมเดลธุรกิจแบบ Samsung AI Retail ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น:
โมเดลนี้ใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า
โมเดลนี้ใช้เทคโนโลยี AI ในการแนะนำสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
โมเดลธุรกิจแบบ Samsung AI Retail ช่วยให้เพิ่มยอดขายได้:
โมเดลนี้ใช้เทคโนโลยี AI ในการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
โมเดลนี้ใช้เทคโนโลยี AI ในการเสนอโปรโมชั่นที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
โมเดลธุรกิจแบบ Samsung AI Retail ช่วยให้สร้างภาพลักษณ์ที่ดี:
โมเดลนี้แสดงถึงความทันสมัยของธุรกิจ
โมเดลนี้แสดงถึงความใส่ใจในลูกค้า
ด้านลบ:
โมเดลธุรกิจแบบ Samsung AI Retail อาจจะมีค่าใช้จ่ายสูง:
โมเดลนี้ต้องลงทุนในเทคโนโลยี AI
โมเดลนี้ต้องลงทุนในบุคลากรที่มีทักษะ
โมเดลธุรกิจแบบ Samsung AI Retail อาจจะต้องใช้เวลา:
โมเดลนี้ต้องใช้เวลาในการพัฒนา
โมเดลนี้ต้องใช้เวลาในการสร้างผลลัพธ์
โมเดลธุรกิจแบบ Samsung AI Retail อาจจะต้องมีทักษะเฉพาะทาง:
โมเดลนี้ต้องมีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี AI
โมเดลนี้ต้องมีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีก
สรุป:
โมเดลธุรกิจแบบ Samsung AI Retail มีโอกาสที่จะเหมาะกับธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม
โมเดลธุรกิจแบบ Samsung AI Retail มีข้อดีและข้อเสีย
ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมควรพิจารณาข้อดีและข้อเสียของโมเดลธุรกิจแบบ Samsung AI Retail ก่อนนำไปใช้
ตัวอย่างการนำโมเดลธุรกิจแบบ Samsung AI Retail ไปใช้กับธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม:
ร้านขายเสื้อผ้าสามารถใช้เทคโนโลยี AI ในการแนะนำเสื้อผ้าที่เหมาะกับสรีระของลูกค้า
ร้านขายเครื่องสำอางสามารถใช้เทคโนโลยี AI ในการแนะนำเครื่องสำอางที่เหมาะกับสภาพผิวของลูกค้า
ร้านขายของชำสามารถใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของลูกค้า
ข้อควรระวัง:
ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมควรปรับโมเดลธุรกิจให้เหมาะสมกับสินค้าและกลุ่มเป้าหมาย
ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมควรมีงบประมาณเพียงพอ
ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมควรมีบุคลากรที่มีทักษะ
ตัวอย่างเพิ่มเติม:
ร้านขายเสื้อผ้าสามารถใช้เทคโนโลยี AI ในการสร้างห้องลองเสื้อผ้าเสมือนจริง
ร้านขายเครื่องสำอางสามารถใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์ปัญหาผิวหน้าของลูกค้า
ร้านขายของชำสามารถใช้เทคโนโลยี AI ในการจัดส่งสินค้าถึงหน้าบ้าน
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง:
เพิ่มจำนวนลูกค้า
เพิ่มยอดขาย
สร้างภาพลักษณ์ที่ดี
ข้อเสนอแนะ:
ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมควรศึกษาโมเดลธุรกิจแบบ Samsung AI Retail เพิ่มเติม
ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมควรหาตัวอย่างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากการนำโมเดลนี้ไปใช้
ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมควรลองนำโมเดลนี้ไปใช้กับธุรกิจของตัวเอง | Classification | cc-by-nc-4.0 |
||
Retail_56795 | Retail | กลยุทธ์ของธนาคารกสิกรไทย ในการนำ QRIS มาใช้กับธนาคารแมสเปี้ยน จะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในกลุ่มลูกค้า Retail ในอินโดนีเซียหรือไม่? | ใช่ เหตุผล:
QRIS เป็นระบบชำระเงินที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย:
เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน
ช่วยลดการพกเงินสด
เพิ่มความสะดวกในการชำระเงิน
QRIS เป็นระบบมาตรฐาน:
รองรับการชำระเงินจากโมบายแบงกิ้ง หรือ e-Wallet ใดก็ได้
ช่วยให้ร้านค้าไม่ต้องติดตั้งเครื่อง EDC หลายเครื่อง
เพิ่มทางเลือกในการชำระเงินให้กับลูกค้า
ธนาคารกสิกรไทยมีประสบการณ์ในการทำ K Shop:
สามารถนำความรู้และประสบการณ์มาต่อยอดพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับร้านค้า (Merchant Application) ของธนาคารแมสเปี้ยน
ช่วยให้ร้านค้าใช้งาน QRIS ได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ
ธนาคารแมสเปี้ยนมีฐานลูกค้า Retail ขนาดใหญ่:
ช่วยให้ QRIS เข้าถึงกลุ่มลูกค้า Retail ในอินโดนีเซียได้อย่างกว้างขวาง
เพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับธนาคารกสิกรไทย
ธนาคารกสิกรไทยมีเป้าหมายขยายธุรกิจในภูมิภาค:
การนำ QRIS มาใช้ในอินโดนีเซียเป็นการเริ่มต้นที่ดี
ช่วยให้ธนาคารกสิกรไทยสามารถแข่งขันในตลาดอินโดนีเซียได้
ตัวอย่าง:
ลูกค้า Retail ในอินโดนีเซียสามารถใช้ QRIS ในการชำระค่าสินค้าและบริการที่ร้านค้าของธนาคารแมสเปี้ยน
ร้านค้าของธนาคารแมสเปี้ยนสามารถใช้งาน QRIS ในการรับชำระเงินจากลูกค้าได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
ข้อจำกัด:
QRIS ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในอินโดนีเซีย:
จำเป็นต้องมีการทำการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้
อาจต้องใช้เวลาในการสร้างฐานลูกค้า
มีผู้ให้บริการระบบชำระเงินผ่าน QR Code รายอื่น ๆ ในอินโดนีเซีย:
ธนาคารกสิกรไทยต้องเผชิญกับการแข่งขัน
จำเป็นต้องพัฒนาบริการให้มีความแตกต่างและโดดเด่น
สรุป:
กลยุทธ์ของธนาคารกสิกรไทย ในการนำ QRIS มาใช้กับธนาคารแมสเปี้ยน จะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในกลุ่มลูกค้า Retail ในอินโดนีเซีย
คำแนะนำ:
ธนาคารกสิกรไทยควรทำการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับ QRIS ในอินโดนีเซีย
ธนาคารกสิกรไทยควรพัฒนาบริการ QRIS ให้มีความแตกต่างและโดดเด่นจากคู่แข่ง
ธนาคารกสิกรไทยควรขยายความร่วมมือกับผู้ให้บริการอื่น ๆ ในอินโดนีเซีย | Classification | cc-by-nc-4.0 |
||
Retail_52764 | Retail | ค่าใช้จ่ายจากการโจรกรรมในธุรกิจค้าปลีกทั่วโลกมีมูลค่าเท่าไรในปี 2017 และทำไมมันถึงเป็นปัญหาสำคัญ? | หัวข้อ ตามดูไอเดียสตาร์ทอัพญี่ปุ่น "Vaak" จับตา (ว่าที่) โจรด้วย AI รู้และแจ้งเตือนตั้งแต่ก่อนหยิบ! - Brand Buffet
การทำงานของ AI จาก Vaak (ขอบคุณภาพจาก Bloomberg) เชื่อว่าคงไม่มีใครเป็นโจรโดยกำเนิด และคงไม่มีใครอยากจะทำเรื่องไม่ดี นั่นจึงอาจเป็นสาเหตุให้ (ว่าที่) โจรหลาย ๆ คนเกิดอาการกระสับกระส่าย อยู่ไม่สุขเวลาจะต้องขโมยของตามร้านสะดวกซื้อ ภาษากายเหล่านี้ได้ถูกสตาร์ทอัพสัญชาติญี่ปุ่น “Vaak” นำมาพัฒนาต่อด้วย AI กลายเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยวิเคราะห์ และตรวจจับบุคคลที่มีแนวโน้มจะ “ขโมยของ” ผ่านกล้องวงจรปิดได้อย่างเหนือชั้น อย่างไรก็ดี จุดประสงค์ของการพัฒนาระบบนี้ขึ้นมาก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการโจรกรรมมากกว่าจะเป็นการจับตัวผู้ร้ายเพื่อนำส่งตำรวจ โดยหากพนักงานในร้านสะดวกซื้อได้รับคำเตือนจากระบบว่ามีแนวโน้มที่จะเกิดการขโมยของขึ้น พนักงานก็เพียงเดินไปที่ผู้ต้องสงสัย เพื่อทักทาย พูดคุย หรือถามว่าต้องการความช่วยเหลือไหม คน ๆ นั้นก็อาจล้มเลิก และเปลี่ยนใจไม่ขโมยของแล้วนั่นเอง ชื่อของ Vaak ยังเคยเป็นข่าวพาดหัวเมื่อปีที่ผ่านมา หลังถูกนำไปทดสอบที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งในโยโกฮามา ที่เกิดเหตุการณ์ถูกขโมยของแต่ไม่สามารถจับตัวหัวขโมยได้ แต่เมื่อนำระบบเข้าไปติดตั้งและวิเคราะห์จากภาพในกล้องวงจรปิด ระบบก็สามารถชี้เป้าผู้ต้องสงสัยได้ และนำไปสู่การจับตัวหัวขโมยในไม่กี่วันต่อมา “ขโมยของ” ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ของโลกค้าปลีก
หลายคนอาจมองการขโมยในร้านสะดวกซื้อเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะสินค้ามีมูลค่าไม่มากนัก แต่ข้อมูลจาก Tyco Retail Solutions ระบุว่า ปัญหาการโจรกรรมนี้ถือเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ของธุรกิจค้าปลีกทั่วโลก เฉพาะในปี 2017 ค่าใช้จ่ายก้อนนี้คิดเป็นมูลค่าถึง 34,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งหากธุรกิจค้าปลีกสามารถจัดการปิดจุดอ่อนนี้ได้ ก็จะสามารถลดรายจ่ายไปได้อีกมากโข ประกอบกับข้อมูลจาก IDC ที่ระบุว่า ธุรกิจค้าปลีกมีแผนจะลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ ราว 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ ซึ่งอาจทำให้ Vaak มีโอกาสเข้ามาในตลาดค้าปลีกได้เร็วขึ้น “ข้อดีของ Vaak คือการเป็นระบบวิเคราะห์ที่สามารถทำงานร่วมกับกล้องวงจรปิดได้ เพราะธุรกิจค้าปลีกทั้งในสหรัฐอเมริกา และหลายประเทศทั่วโลกต่างติดตั้งกล้องเหล่านี้เอาไว้ในห้างอยู่แล้ว ซึ่งเท่ากับว่าพวกเขาแค่ซื้อซอฟต์แวร์ไปใช้เฉย ๆ ไม่ต้องลงทุนด้านอุปกรณ์เพิ่มเติมแต่อย่างใด”
Thomas O’Connor นักวิเคราะห์จาก Gartner กล่าว สอดคล้องกับการเปิดเผยของ Ryo Tanaka ผู้ก่อตั้ง Vaak ที่บอกว่า ปัจจุบัน ระบบของ Vaak ได้เริ่มติดตั้งใช้งานแล้วในร้านสะดวกซื้อ และเชนร้านขายยาในญี่ปุ่น โดย Vaak ตั้งเป้าไว้ว่า บริษัทจะขยายการให้บริการ AI ตรวจจับขโมยนี้ไปยังร้านค้าต่าง ๆ ให้ได้ 100,000 แห่งภายในสามปี อย่างไรก็ดี AI ของ Vaak ไม่ได้จบแต่เพียงเท่านี้ เพราะ Takana เผยว่ามีแผนจะนำ AI ไปวิเคราะห์ข้อมูลด้านอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น วิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าที่เข้ามาในร้านค้าปลีกว่ามีปฏิกิริยาอย่างไรต่อสินค้า เพื่อให้ทางร้านนำไปปรับปรุงการจัดวางสินค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือในแง่ของพื้นที่สาธารณะ หลายคนอาจทราบกันดีว่า ในญี่ปุ่นมักมีผู้กระโดดลงไปบนรางรถไฟเพื่อฆ่าตัวตายอยู่บ่อยครั้ง Tanaka จึงมองว่า อาจนำ AI เข้าไปช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้โดยสารตามชานชาลารถไฟ เพื่อป้องกันการก่อเหตุฆ่าตัวตายได้ล่วงหน้า เป็นต้น ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการระดมทุนซีรีย์เอ มูลค่า 1 พันล้านเยน โดยได้รับเงินลงทุนจากกองทุนด้าน AI ของ SoftBank มาแล้ว 50 ล้านเยน Source | ในปี 2017 ค่าใช้จ่ายจากการโจรกรรมในธุรกิจค้าปลีกทั่วโลกมีมูลค่าถึง 34,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงมากและเป็นปัญหาสำคัญจากหลายเหตุผล:
1. ผลกระทบทางการเงิน : การโจรกรรมทำให้ธุรกิจค้าปลีกสูญเสียรายได้และกำไรโดยตรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการดำเนินธุรกิจและการขยายตัวของธุรกิจนั้นๆ
2. ต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น : ธุรกิจต้องลงทุนเพิ่มในการรักษาความปลอดภัย เช่น การติดตั้งระบบกล้องวงจรปิด, การจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัย, และการพัฒนาระบบการเฝ้าระวัง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการจัดการกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการโจรกรรม
3. ผลกระทบต่อพนักงาน : การโจรกรรมไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายทางการเงินเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างความเครียดและความไม่ปลอดภัยให้กับพนักงานที่ต้องเผชิญกับการขโมย ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและบรรยากาศภายในร้าน
4. ผลกระทบต่อลูกค้า: การโจรกรรมอาจทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่ปลอดภัยหรือไม่สะดวกในการช็อปปิ้งในร้านนั้นๆ ซึ่งสามารถทำให้ลูกค้าหลุดไปหาคู่แข่งที่มีความปลอดภัยมากกว่า
5. ผลกระทบต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียง: การที่ร้านค้าปลีกมีประวัติการโจรกรรมบ่อยครั้งอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ทำให้ลูกค้าอาจมองว่าร้านนั้นไม่ปลอดภัยหรือไม่น่าเชื่อถือ
ด้วยเหตุนี้ การลดการโจรกรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจค้าปลีก ไม่เพียงเพื่อรักษารายได้และลดต้นทุน แต่ยังเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือสำหรับลูกค้าและพนักงาน. | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
|
Medical_19959 | Medical | สิ่งที่พอจะทำได้บ้าง เพื่อจัดการกับอารมณ์หึงหวง มีอะไรบ้าง | รู้จักอารมณ์หึงหวง จัดการอารมณ์หึงอย่างไรดี รู้จักอารมณ์หึงหวง จัดการอารมณ์หึงอย่างไรดี นาถวีณา ดำรงพิพัฒน์สกุล นักจิตวิทยา โรงพยาบาลมนารมย์ TweetShare+1E-mail เชื่อว่าหลายท่านเคยฟังเพลงที่ชื่อว่า ‘หวงรัก’ ซึ่งแม้อายุเพลงจะนานแล้ว แต่ความคลาสสิคของเพลงนี้คือเนื้อหาที่พูดถึงความรู้สึกในความสัมพันธ์ระหว่างคู่รัก ที่อาจมีความซึ้งใจ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ยังปนไปด้วยความหน่วงๆ เพราะว่า... ‘รักของใครของใครก็ห่วง รักใคร ใครก็ต้องหวง ห่วงคนรักดั่งดวงใจ ใครจะยอมยกไปให้ใคร รักใครก็ใครต่างหวงไว้ครอบครอง’ อารมณ์หึงหวงเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในการมารับบริการทางสุขภาพจิตโดยเฉพาะเรื่องปัญหาความสัมพันธ์ คนเราจะเริ่มหึงหวงเมื่อรู้สึกว่าความสัมพันธ์ที่เราให้คุณค่าถูกคุกคามจากบุคคลภายนอกความสัมพันธ์นั้น อารมณ์หึงหวงมักเกิดจากหลายความรู้สึกรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเสียใจ ความกลัวต่อการสูญเสียสิ่งที่รัก หรือแม้แต่ความอับอาย ซึ่งแต่ละคนจะมีอารมณ์เหล่านี้ผสมในความหึงหวงไม่เท่ากัน รวมถึงมีระดับของความหึงหวงโดยรวมต่างกันด้วย มีนักวิจัยศึกษามานานแล้วว่า คนที่หึงหวงมากนั้นมักสัมพันธ์กับความรู้สึกเหงา การเห็นคุณค่าในตนเองต่ำ รวมถึงในคนที่มีภาวะก้าวร้าวก็อาจแสดงความหึงวงออกมาผ่านพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอีกด้วย ทั้งนี้ อารมณ์หึงหวงเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ใช่แค่กับคู่รัก เพราะแม้แต่เพื่อนก็หวงเพื่อนด้วยกันได้ หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงก็หวงเจ้าของตนเองได้เหมือนกัน ทีนี้ ในเมื่ออารมณ์หึงหวงเป็นประสบการณ์ทางใจที่ไม่อยากพบเจอ ไม่อยากให้เกิดขึ้น และพอเกิดขึ้นมาแล้วก็รับมือยากเช่นกัน สิ่งที่เราพอจะทำได้บ้างเพื่อจัดการกับอารมณ์หึงหวง มีดังนี้ • พูดคุย อาจเป็นวิธีที่ยากที่สุดและตรงที่สุด แต่การได้พูดคุยกับบุคคลในความสัมพันธ์อาจเป็นการเปิดโอกาสให้ทำความเข้าใจและอธิบายซึ่งกันและกัน มีการทำข้อตกลงร่วมกันในความสัมพันธ์ซึ่งอาจสร้างความสบายใจให้มากกว่า ช่วยกันหาจุดที่ละเลยและเสริมสร้างความสัมพันธ์ ในการพูดคุยควรเป็นไปด้วยเหตุผลและการกำกับอารมณ์ที่เหมาะสม • ให้เวลากับตัวเอง บางครั้งการแบกรับคนเดียวอาจหนักเกินไป จึงต้องหาความช่วยเหลือจากผู้ที่เราไว้วางใจในเบื้องต้น ถ้าหากคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความยากลำบากต่อภาวะทางจิตใจ อาจเข้ารับการบริการทางสุขภาวะจิต เพื่อให้บุคลากรทางสุขภาพจิตได้ให้การสนับสนุน เอื้อให้มีทางออกอย่างเหมาะสม หรือใช้การบำบัดแบบปัญญาพฤติกรรมนิยม (Cognitive Behavioral Therapy: CBT) เพื่อสำรวจความคิด อารมณ์ ความรู้สึก นำไปสู่การปรับและทำความเข้าใจภาวะทางใจของเราเอง • หาแหล่งสนับสนุน บางครั้งการแบกรับคนเดียวอาจหนักเกินไป จึงต้องหาความช่วยเหลือจากผู้ที่เราไว้วางใจในเบื้องต้น ถ้าหากคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความยากลำบากต่อภาวะทางจิตใจ อาจเข้ารับการบริการทางสุขภาวะจิต เพื่อให้บุคลากรทางสุขภาพจิตได้ให้การสนับสนุน เอื้อให้มีทางออกอย่างเหมาะสม หรือใช้การบำบัดแบบปัญญาพฤติกรรมนิยม (Cognitive Behavioral Therapy: CBT) เพื่อสำรวจความคิด อารมณ์ ความรู้สึก นำไปสู่การปรับและทำความเข้าใจภาวะทางใจของเราเอง เมื่อมาถึงตรงนี้ หลายท่านอาจรู้สึกว่าอารมณ์หึงหวงค่อนข้างเป็นเรื่องไม่ดี อย่างไรก็ตาม อารมณ์หึงหวงอาจเป็นสัญญาณที่ทำให้เราตระหนักและปกป้องตนเองในความสัมพันธ์ ซึ่งหากได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม อาจช่วยให้ความสัมพันธ์และตัวเราเองเกิดความมั่นคงหรือเติบโตได้มากขึ้น อ้างอิงข้อมูลจาก • Jealousy. จาก Psychology Today • Five strategies to manage jealousy: Lessons from the cutting edge for everyone. จาก Psychology Today • Cognitive behavioral therapy for romantic jealousy: How can we understand problematic jealousy and help people cope better? จาก Psychology Today • Friendship jealousy in young adolescents: individual differences and links to sex, self-esteem, aggression, and social adjustment. จาก Developmental Psychology ค้นหาแพทย์และนักบำบัด โทรนัดหมายแพทย์ ติดต่อสอบถาม อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ว่าด้วยเรื่องของความอิจฉา อยากรักต่างวัย ต้องรู้อะไรบ้าง รักอย่างไรให้ยืนยาว Deep Listening คุยกันให้ลึก ฟังกันให้ซึ้ง ลดปัญหาขัดแย้งในครอบครัว (หรือคนใกล้ตัว) สัญญานเตือนที่ต้องมาพบจิตแพทย์ | สิ่งที่พอจะทำได้บ้าง เพื่อจัดการกับอารมณ์หึงหวง มีดังนี้
• พูดคุย
อาจเป็นวิธีที่ยากที่สุดและตรงที่สุด แต่การได้พูดคุยกับบุคคลในความสัมพันธ์อาจเป็นการเปิดโอกาสให้ทำความเข้าใจและอธิบายซึ่งกันและกัน มีการทำข้อตกลงร่วมกันในความสัมพันธ์ซึ่งอาจสร้างความสบายใจให้มากกว่า ช่วยกันหาจุดที่ละเลยและเสริมสร้างความสัมพันธ์ ในการพูดคุยควรเป็นไปด้วยเหตุผลและการกำกับอารมณ์ที่เหมาะสม
• ให้เวลากับตัวเอง
บางครั้งการแบกรับคนเดียวอาจหนักเกินไป จึงต้องหาความช่วยเหลือจากผู้ที่ไว้วางใจในเบื้องต้น ถ้าหากคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความยากลำบากต่อภาวะทางจิตใจ อาจเข้ารับการบริการทางสุขภาวะจิต เพื่อให้บุคลากรทางสุขภาพจิตได้ให้การสนับสนุน เอื้อให้มีทางออกอย่างเหมาะสม หรือใช้การบำบัดแบบปัญญาพฤติกรรมนิยม (Cognitive Behavioral Therapy: CBT) เพื่อสำรวจความคิด อารมณ์ ความรู้สึก นำไปสู่การปรับและทำความเข้าใจภาวะทางใจเอง
• หาแหล่งสนับสนุน
บางครั้งการแบกรับคนเดียวอาจหนักเกินไป จึงต้องหาความช่วยเหลือจากผู้ที่ไว้วางใจในเบื้องต้น ถ้าหากคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความยากลำบากต่อภาวะทางจิตใจ อาจเข้ารับการบริการทางสุขภาวะจิต เพื่อให้บุคลากรทางสุขภาพจิตได้ให้การสนับสนุน เอื้อให้มีทางออกอย่างเหมาะสม หรือใช้การบำบัดแบบปัญญาพฤติกรรมนิยม (Cognitive Behavioral Therapy: CBT) เพื่อสำรวจความคิด อารมณ์ ความรู้สึก นำไปสู่การปรับและทำความเข้าใจภาวะทางใจ | 3.จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_54976 | Retail | การเข้าซื้อกิจการสตาร์บัคส์ในประเทศไทยโดย F&N ผ่านบริษัทคอฟฟี่ คอนเซ็ปต์ (ประเทศไทย) จำกัด จะส่งผลต่อกลยุทธ์ค้าปลีกของ F&N อย่างไร? | ตามที่ Brand Inside นำเสนอเรื่อง Starbucks มีผู้ดูแลใหม่คือ Coffee Concepts Thailand พร้อมลุยตลาดในภูมิภาคนี้ ไปก่อนหน้านี้ ล่าสุด ทาง F&N หรือ บริษัท เอฟแอนด์เอ็น รีเทล คอนเน็คชั่น จำกัด (ซึ่งเป็นบริษัทในเครือไทยเบฟ) ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการแล้ว โดย เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ, ลิมิเต็ด (“F&N”) ประกาศในวันนี้ว่า บริษัท เอฟแอนด์เอ็น รีเทล คอนเน็คชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเข้าร่วมกับ Maxim’s Caterers Limited (“Maxim’s”) ตั้งกิจการร่วมค้าชื่อ บริษัท คอฟฟี่ คอนเซ็ปต์ (ประเทศไทย) จำกัด (“CCT”) เพื่อเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (ประเทศไทย) จำกัด (“สตาร์บัคส์ประเทศไทย”) นับเป็นกลยุทธ์ล่าสุดของ F&N ในการสร้างการเติบโตให้ธุรกิจในประเทศไทย ที่ F&N ได้ทำธุรกิจมากว่า 20 ปีอย่างมั่นคงและยั่งยืน การเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวจะเพิ่มตราสินค้าชื่อดังให้แก่พอร์ตโฟลิโอของ F&N ซึ่ง F&N ในประเทศไทยมีรายได้ประมาณ 15,000 ล้านบาทในปี 2561 ทั้งนี้มีกลุ่มสินค้านมกระป๋อง โดยมี ทีพอท ตราหมี และคาร์เนชั่นเป็นตราสินค้ากลุ่มนมข้นหวาน นมสเตอริไลส์ และนมข้นจืด F&N ยังคงมุ่งหน้าขยายสินค้ากลุ่มไอศกรีมและนมในประเทศไทยด้วยการออกสินค้าใหม่จาก แมกโนเลีย ในปี 2561 โก๊ะ โป๊ะ เตียง (Mr. Koh Poh Tiong) กรรมการบริษัทและประธานกรรมการบริหาร ให้ความเห็นว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 3 ตลาดหลักของ F&N ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่สามารถตอกย้ำและขยายธุรกิจในประเทศไทยผ่านการเข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้ นอกจากนี้ ตลาดค้าปลีกกาแฟระดับพรีเมียมในประเทศไทยยังมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และสตาร์บัคส์ซึ่งมีจำนวนร้าน 372 สาขาทั่วประเทศในปัจจุบันกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว และยังมีโอกาสที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต ถือเป็นเรื่องดีที่ได้ร่วมงานกับ Maxim’s ซึ่งมีประวัติการทำธุรกิจที่ดีกับสตาร์บัคส์มาอย่างยาวนาน เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้บริโภคในร้านสตาร์บัคส์ต่อไป Maxim’s เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับสตาร์บัคส์ คอฟฟี่ คอมพานี ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน และเป็นผู้ดำเนินงานและพัฒนาร้านค้าปลีกกาแฟสตาร์บัคส์ในฐานะบริษัทที่ได้รับสิทธิให้ใช้เครื่องหมายการค้าสตาร์บัคส์มาตั้งแต่ปี 2543 โดยในปัจจุบัน Maxim’s ประกอบกิจการร้านสตาร์บัคส์ในฮ่องกง มาเก๊า สิงคโปร์ เวียดนาม และกัมพูชา ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา Share this: Related Laxman Narasimhan ซีอีโอคนใหม่สตาร์บัคส์ ใส่ผ้ากันเปื้อนชงกาแฟขายเอง เพื่อทำความเข้าใจธุรกิจและลูกค้า In "Article" สตาร์บัคส์ในไทยได้ผู้ดูแลใหม่แล้ว เครือไทยเบฟฯ ถือหุ้นด้วย บริษัทแม่เน้นบุกตลาดจีนเต็มตัว In "News" วิเคราะห์ดีลสตาร์บัคส์ในไทย เมื่อกลุ่มไทยเบฟลงมาเล่นเกมนี้ และ Maxim Group หน้าใหม่ที่ไม่ใหม่ In "Analysis" | การเข้าซื้อกิจการสตาร์บัคส์ในประเทศไทยโดย F&N ผ่านบริษัทคอฟฟี่ คอนเซ็ปต์ (ประเทศไทย) จำกัด คาดว่าจะส่งผลต่อกลยุทธ์ค้าปลีกของ F&N ในหลายๆ ด้าน ดังนี้
1. ขยายพอร์ตสินค้าและบริการ:
F&N เป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำในตลาดนมและผลิตภัณฑ์นมในประเทศไทย การเข้าซื้อสตาร์บัคส์จะช่วยขยายพอร์ตสินค้าและบริการของ F&N ไปยังกลุ่มผลิตภัณฑ์กาแฟและเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ
F&N จะสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายยิ่งขึ้นแก่ลูกค้า ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
ตัวอย่างเช่น F&N สามารถนำเสนอเมนูเครื่องดื่มใหม่ๆ ที่ผสมผสานผลิตภัณฑ์นมของ F&N เข้ากับกาแฟของสตาร์บัคส์ หรือ นำเสนอชุดอาหารเช้าหรือของว่างที่รวมผลิตภัณฑ์ของทั้งสองบริษัท
2. เสริมสร้างการเข้าถึงลูกค้า:
สตาร์บัคส์มีเครือข่ายร้านค้าปลีกที่แข็งแกร่งในประเทศไทย กว่า 372 สาขา ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ
การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะช่วยให้ F&N เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคในเขตเมือง
F&N ยังสามารถใช้เครือข่ายร้านค้าของสตาร์บัคส์ ในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของบริษัท เช่น นม ไอศกรีม หรือเบเกอรี่
3. เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน:
ตลาดค้าปลีกกาแฟในประเทศไทยมีการแข่งขันสูง
การเข้าซื้อสตาร์บัคส์จะช่วยให้ F&N กลายเป็นผู้เล่นหลักในตลาดนี้
F&N จะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Coffee World, Black Canyon Coffee หรือ Cafe Amazon ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. เพิ่มโอกาสในการเติบโต:
ตลาดกาแฟในประเทศไทยยังมีศักยภาพในการเติบโตสูง
ผู้บริโภคชาวไทยมีนิยมดื่มกาแฟมากขึ้น
การเข้าซื้อสตาร์บัคส์จะช่วยให้ F&N สามารถคว้าโอกาสในการเติบโตของตลาดนี้
F&N สามารถขยายสาขาของสตาร์บัคส์ไปยังพื้นที่ใหม่ๆ หรือ เปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ
5. เสริมสร้างความแข็งแกร่งในภูมิภาค:
F&N มีธุรกิจในหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การเข้าซื้อสตาร์บัคส์จะช่วยให้ F&N เสริมสร้างความแข็งแกร่งในภูมิภาคนี
F&N สามารถใช้ประสบการณ์และความรู้จากการดำเนินงานสตาร์บัคส์ในประเทศไทย ขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
|
Retail_38693 | Retail | ช่วยสรุปเรื่อง "กรณีศึกษาแบรนด์ไทยทำ Direct to Consumer" ให้หน่อยค่ะ | กรณีศึกษาแบรนด์ชั้นนำลุย D2C D2C สำหรับแบรนด์ไทยที่เริ่มขับเคลื่อนอย่างเห็นได้ชัดเจน Rojukiss ที่จับมือร่วมกับ GMM Grammy เปิดโมเดลธุรกิจใหม่ Media Commerce เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพจำหน่ายผ่านสื่อในเครือแกรมมี่ ได้แก่ ทีวีดิจิทัล วิทยุออนไลน์ ทีวีโฮมช้อปปิ้งช่อง O shopping และ E- Commerce ผ่าน www.oshoppingtv.com โดยที่ โรจูคิสจะเป็นผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์และแบรนด์ใหม่ๆ ให้กับ GMM Grammy ในรูปแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ซึ่งความร่วมในครั้งนี้นอกจากโรจูคิสได้อะไรบ้าง Rojukiss GMM Grammy Media Commerce O shopping E- Commerce www.oshoppingtv.com www.oshoppingtv.com GMM Grammy แบรนด์สินค้าสามารถสื่อสารเซเลบริตี้ในเครือแกรมมี่และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายด้วยฐานลูกค้าของแกรมมี่ที่มีหลากหลายตั้งแต่วัยรุ่น วัยทำงาน หรือกระทั่งในตลาดต่างจังหวัด
การสร้างความสมดุลย์ระหว่างช่องทางค้าปลีกและออนไลน์ เนื่องจากสมรภูมิการแข่งขันโดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟมีความรุนแรง จากการมีแบรนด์สินค้าคู่แข่งให้เลือกหลากหลาย ที่สำคัญเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำทำให้แบรนด์คู่แข่งสามารถผลิตสินค้าและสามารถวางจำหน่ายได้เพียงพริบตา ดังนั้นการมีช่องทาง D2C จึงทำให้ Rojukiss มีความได้เปรียบในการแข่งขัน
การมีช่องทางจำหน่ายเอง ทำให้โรจูคิสเป็น Data เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคและสามารถผลิตสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ แบรนด์สินค้าสามารถสื่อสารเซเลบริตี้ในเครือแกรมมี่และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายด้วยฐานลูกค้าของแกรมมี่ที่มีหลากหลายตั้งแต่วัยรุ่น วัยทำงาน หรือกระทั่งในตลาดต่างจังหวัด การสร้างความสมดุลย์ระหว่างช่องทางค้าปลีกและออนไลน์ เนื่องจากสมรภูมิการแข่งขันโดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟมีความรุนแรง จากการมีแบรนด์สินค้าคู่แข่งให้เลือกหลากหลาย ที่สำคัญเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำทำให้แบรนด์คู่แข่งสามารถผลิตสินค้าและสามารถวางจำหน่ายได้เพียงพริบตา ดังนั้นการมีช่องทาง D2C จึงทำให้ Rojukiss มีความได้เปรียบในการแข่งขัน D2C Rojukiss การมีช่องทางจำหน่ายเอง ทำให้โรจูคิสเป็น Data เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคและสามารถผลิตสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ Data ขณะที่ อมาโด้ ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพและความงาม รุกเปิดธุรกิจใหม่ Amado Shopping เดินหน้าสร้างช่องทางขายที่หลากหลาย (Real-Time Strategic Platform) โดยแตกไลน์ธุรกิจใหม่ บุกตลาดทีวีโฮมช้อปปิ้งที่มีมูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นช่องทาง D2C ที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงด้วยเช่นเดียวกัน สิ่งที่อมาโด้จากการรุก ทีวีโฮมช้อปปิ้งในครั้งนี้ Amado Shopping (Real-Time Strategic Platform) 1.4 D2C ทีวีโฮมช้อปปิ้ง เป็นแค่จิ๊กซอว์ตัวหนึ่งเท่านั้น เพราะอมาโด้ต้องการ Harmonize Channel ให้มีช่องทางขายครบทุกช่องทาง จากเดิมที่อมาโด้ มีความแข็งแกร่งช่องทางออนไลน์ดีลเลอร์ ช่องทางออนไลน์ของทางบริษัทเอง คีออส (Kiosk) ในห้างสรรพสินค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าเพื่อสุขภาพและความงาม
เทรนด์การซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพและความงาม ส่วนหนึ่งมาจากทางช่องทางทีวีโฮมช้อปปิ้ง จากการที่มีทั้ง RS ขับเคลื่อนทำให้ธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งเติบโต
การทำ Big Data ที่หลากหลายช่องทาง เปรียบเป็นขุมทรัพย์สำคัญของธุรกิจ เพื่อนำเสนอสินค้าและโปรโมชั่นตรงกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น ทีวีโฮมช้อปปิ้ง เป็นแค่จิ๊กซอว์ตัวหนึ่งเท่านั้น เพราะอมาโด้ต้องการ Harmonize Channel ให้มีช่องทางขายครบทุกช่องทาง จากเดิมที่อมาโด้ มีความแข็งแกร่งช่องทางออนไลน์ดีลเลอร์ ช่องทางออนไลน์ของทางบริษัทเอง คีออส (Kiosk) ในห้างสรรพสินค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าเพื่อสุขภาพและความงาม Harmonize Channel (Kiosk) เทรนด์การซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพและความงาม ส่วนหนึ่งมาจากทางช่องทางทีวีโฮมช้อปปิ้ง จากการที่มีทั้ง RS ขับเคลื่อนทำให้ธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งเติบโต RS การทำ Big Data ที่หลากหลายช่องทาง เปรียบเป็นขุมทรัพย์สำคัญของธุรกิจ เพื่อนำเสนอสินค้าและโปรโมชั่นตรงกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น Big Data มาถึงร้านอาหารในเครือของ ZEN Group ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ZEN Group ผนึกกำลัง “Lazada – Shopee” เปิด Official Store เจาะตลาดอีมาร์เก็ตเพลส ขนร้านอาหารในเครือ 5 แบรนด์ดัง จัดโปรโมชั่นใหญ่ ‘11.11’ แท้ที่จริงแล้ว การทำโปรโมชั่นดังกล่าว เชื่อว่า ZEN Group ยังไม่ได้มุ่งเป้าหมายไปที่ยอดขายคูปองสักเท่าไร แต่คือการนำแบรนด์เข้าไปอยู่ในช่องทาง D2C แบบไม่ต้องรอให้ลูกค้าหิวแล้วมาเข้าร้านเอง ZEN Group ZEN Group “Lazada – Shopee” Official Store 5 ‘11.11’ ZEN Group D2C ZEN Group นำร้านอาหารในเครือ 5 แบรนด์ดัง ได้แก่ ร้านอาหารญี่ปุ่นเซ็น, อากะ, ออน เดอะเทเบิ้ล โตเกียว คาเฟ่, ตำมั่ว และเขียง มาทำโปรโมชั่น เพื่อทำให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้นนอกเหนือจากฐานคนในครอบครัวที่ ZEN Group สามารถเข้าถึงได้ดีอยู่แล้ว
การนำร้านอาหารเข้าไปจำหน่ายคูปองส่วนลดนั้น ZEN Group มองถึงการได้ Data ของลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่เจเนอเรชั่น M ถึงการชื่นชอบอาหาร หรือเมนูประเภทใด เพื่อต่อไปจะได้พัฒนาเมนูอาหาร หรือนำคูปองมาจำหน่ายครั้งต่อไปที่สามารถตอบโจทย์ได้มากขึ้น
ธุรกิจร้านอาหาร การแข่งขันสูง หากรอลูกค้าให้มาใช้บริการที่ร้าน อาจเกิดการสวิทช์ชิ่งแบรนด์ได้ง่าย เนื่องจากร้านอาหารต่างๆ มีโปรโมชั่นที่หลากหลายและกระตุ้นการตัดสินใจเข้าใช้บริการ ณ ช่วงเวลานั้น | - Rojukiss ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพที่จับมือกับ GMM Grammy จำหน่ายสินค้าในทีวีดิจิทัล วิทยุออนไลน์ ทีวีโฮมช้อปปิ้งช่อง O shopping และ E- Commerce ทำให้สินค้าสามารถสื่อสารเซเลบริตี้ในเครือแกรมมี่ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย สร้างความสมดุลย์ระหว่างช่องทางค้าปลีกและออนไลน์ และมีช่องทางจำหน่ายเองเพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคและสามารถผลิตสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้แม่นยำ
- Amado ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพและความงาม ได้เปิด Amado Shopping เพื่อสร้างช่องทางขายที่หลากหลาย บุกตลาดทีวีโฮมช้อปปิ้ง และทำ Big Data หลายช่องทางเพื่อนำเสนอสินค้าและโปรโมชั่นตรงกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง
- ร้านอาหารในเครือ ZEN Group ได้เปิด Official Store เพื่อเจาะตลาดอีมาร์เก็ตเพลส จัดโปรโมชั่นร้านอาหารเพื่อเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ นำร้านอาหารไปจำหน่ายคูปองส่วนลด และใช้ช่องทาง D2C แบบไม่ต้องรอลูกค้าเข้าร้านเอง | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
|
Retail_34231 | Retail | 5 สิ่งสำคัญที่ร้านค้าปลีกต้องมีไว้เพื่อพิชิตใจลูกค้า อะไรคือสิ่งที่ร้านค้าปลีกขนาดเล็กควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก และทำไม | ลูกค้าในปัจจุบันต้องการประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เป็นส่วนตัว: ลูกค้าต้องการได้รับการเอาใจใส่และได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ร้านค้าปลีกขนาดเล็กสามารถสร้างความแตกต่างจากร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ได้ด้วยการให้บริการลูกค้าแบบส่วนตัว
การบริการลูกค้าที่ดีช่วยสร้างความประทับใจ: ลูกค้าที่ได้รับบริการที่ดีจะจดจำประสบการณ์นั้นและบอกต่อผู้อื่น การบริการที่ดีช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและทำให้พวกเขากลับมาซื้อของที่ร้านอีก
การบริการลูกค้าที่ดีช่วยเพิ่มยอดขาย: ลูกค้าที่ประทับใจกับบริการมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายเงินมากขึ้น
ตัวอย่างการให้บริการลูกค้าแบบส่วนตัว
จดจำชื่อลูกค้า: การจดจำชื่อลูกค้าเป็นการแสดงให้เห็นว่าคุณใส่ใจและให้ความสำคัญกับพวกเขา
ให้คำแนะนำอย่างเป็นกันเอง: พนักงานขายควรมีความรู้เกี่ยวกับสินค้าและสามารถให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์แก่ลูกค้า
รับฟังความต้องการของลูกค้า: พนักงานขายควรตั้งใจฟังสิ่งที่ลูกค้าต้องการและพยายามช่วยเหลือพวกเขาให้ดีที่สุด
ติดตามผลหลังการขาย: สอบถามลูกค้าเกี่ยวกับประสบการณ์การซื้อของกับร้านและรับฟังข้อเสนอแนะ
เหตุผลเพิ่มเติมว่าทำไมการบริการลูกค้าแบบส่วนตัวจึงสำคัญสำหรับร้านค้าปลีกขนาดเล็ก
ร้านค้าปลีกขนาดเล็กมีทรัพยากรจำกัด: ร้านค้าปลีกขนาดเล็กไม่สามารถแข่งขันกับร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ในเรื่องของราคาหรือสินค้าหลากหลาย ดังนั้นการบริการลูกค้าที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยดึงดูดลูกค้าและสร้างความแตกต่าง
การบริการลูกค้าที่ดีช่วยสร้างความภักดีของลูกค้า: ลูกค้าที่ประทับใจกับบริการมีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อของที่ร้านอีกและบอกต่อผู้อื่น การสร้างความภักดีของลูกค้าช่วยให้ร้านค้าปลีกมีรายได้ที่มั่นคง | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
||
Retail_54858 | Retail | การมีหน้าร้านค้าปลีก (Physical Retail Store) จำเป็นสำหรับแบรนด์ในยุคดิจิทัลหรือไม่? | ไม่จำเป็น เหตุผล:
การเติบโตของอีคอมเมิร์ซ: ยอดขายอีคอมเมิร์ซทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2023 ยอดขายอีคอมเมิร์ซทั่วโลกแตะ 5.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดการณ์ว่าจะเติบโตถึง 7.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 ผู้บริโภคจำนวนมากหันมาซื้อสินค้าออนไลน์ สะดวก รวดเร็ว เปรียบเทียบราคาได้ง่าย
ค่าใช้จ่าย: การมีหน้าร้านค้าปลีกมีค่าใช้จ่ายสูง ค่าเช่าพื้นที่ ค่าจ้างพนักงาน ค่าตกแต่งร้าน สินค้าคงคลัง ฯลฯ
ความยืดหยุ่น: ธุรกิจออนไลน์มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจได้ง่าย ทดสอบสินค้าใหม่ ขยายตลาดใหม่ โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม
เข้าถึงลูกค้าได้กว้าง: ธุรกิจออนไลน์สามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างกว่า ไม่จำกัดพื้นที่
ประสบการณ์ลูกค้า: ธุรกิจออนไลน์สามารถมอบประสบการณ์ลูกค้าที่ personalize
อย่างไรก็ตาม หน้าร้านค้าปลีกยังมีข้อดีบางประการ เช่น
สร้างประสบการณ์การช็อปปิ้ง: ลูกค้าสามารถสัมผัสสินค้าจริง พูดคุยกับพนักงาน
สร้างแบรนด์: หน้าร้านค้าปลีกช่วยสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
ช่องทางการจัดส่งสินค้า: หน้าร้านค้าปลีกสามารถเป็นจุดรับสินค้า หรือจุดส่งคืนสินค้า
สรุป:
ธุรกิจควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น กลุ่มลูกค้า สินค้า งบประมาณ กลยุทธ์ทางธุรกิจ
ธุรกิจสามารถผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน (Omnichannel)
ธุรกิจควรติดตามเทรนด์และพฤติกรรมผู้บริโภคอยู่เสมอ
ตัวอย่างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องมีหน้าร้านค้าปลีก:
Nike: แบรนด์รองเท้ากีฬายักษ์ใหญ่ มีเว็บไซต์ออนไลน์และแอปพลิเคชั่น
Warby Parker: แบรนด์แว่นตา เริ่มต้นธุรกิจออนไลน์
Casper: แบรนด์ที่นอน ขายที่นอนออนไลน์
ตัวอย่างธุรกิจที่ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์:
Starbucks: ร้านกาแฟ มีแอปพลิเคชั่นให้ลูกค้าสั่งซื้อล่วงหน้า
Sephora: ร้านขายเครื่องสำอาง มีเว็บไซต์ออนไลน์
Apple: มีหน้าร้านค้าปลีก และเว็บไซต์ออนไลน์ | Classification | cc-by-nc-4.0 |
||
Retail_53244 | Retail | จงเสนอไอเดีย ศูนย์ฯสิริกิติ์โฉมใหม่ มีอะไรแตกต่างไปจากเดิมบ้าง | ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บริหารโดยบริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ธุรกิจในเครือเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้ปิดปรับปรุงไปเมื่อเดือนเมษายน 2562 หลังจากให้บริการมา 30 ปี เริ่มจากประชุม World Bank ครั้งที่ 46 ในปี 2534 ณ เวลานั้นถือเป็นศูนย์ประชุมใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นจุดเริ่มต้นธุรกิจ MICE ของประเทศไทย โดยรองรับการจัดประชุมและอีเวนต์สำคัญ ๆ ทั้งในประเทศและนานาชาติมาแล้วกว่า 30,000 งาน
โฉมใหม่ ศูนย์ฯสิริกิติ์ ใช้งบประมาณปรับปรุงกว่า 15,000 ล้านบาท มีบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้พัฒนาคอนเซ็ปต์และก่อสร้าง โดยเตรียมเปิดให้บริการอีกครั้งในเดือนกันยายน 2565
ศูนย์ฯสิริกิติ์โฉมใหม่
– ศูนย์ฯสิริกิติ์โฉมใหม่ มีพื้นที่โครงการรวม 300,000 ตารางเมตร ใหญ่กว่าเดิม 5 เท่า หรือมีขนาดเท่ากับสนามฟุตบอล 50 สนาม สูง 5 ชั้น (ชั้นใต้ดิน 3 ชั้น และบนดิน 2 ชั้น)
– พื้นที่รองรับการจัดการประชุมและนิทรรศการ 78,500 ตารางเมตร ประกอบไปด้วยฮอลล์สำหรับการจัดงานขนาดใหญ่ 2 ฮอลล์ พื้นที่รวมกว่า 45,000 ตารางเมตร ห้องจัดประชุมสัมมนาขนาดใหญ่ 2 ห้อง พื้นที่ประมาณ 10,000 ตารางเมตร (เพลนารี ฮอลล์และบอลรูม) และห้องประชุมย่อยรองรับการประชุมได้กว่า 50 ห้อง และพื้นที่รีเทล 11,000 ตารางเมตร
– รองรับผู้เข้าร่วมงานกว่า 100,000 คนต่อวัน มีที่จอดรถ 3,000 คัน ทางเข้าออก 4 ถนน (พระราม 4 สุขุมวิท รัชดาภิเษก ดวงพิทักษ์)
– เปิดทางเชื่อม MRT เข้าศูนย์ฯสิริกิติ์ ชั้นใต้ดินโดยไม่ต้องเดินออกมานอกสถานีเพื่อเข้าศูนย์ฯ มีทางเชื่อมจากศูนย์ฯสิริกิติ์ ไปยังสวนป่าเบญจกิติ ขนาด 450 ไร่ จะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม 2565 (ในสวนป่าเบญจกิติ มีเส้นทางสกายวอล์กเชื่อมไปยังสวนลุม)
ยอดจองแน่นทุกงานเดิมคอนเฟิร์มกลับศูนย์ฯ
– ก่อนปิดปรับปรุง มีงานแฟร์หลายงานที่จัดเป็นประจำที่ศูนย์ฯสิริกิติ์ และมีผู้เข้าชมงานจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น งานสัปดาห์หนังสือ, งานไทยเที่ยวไทย, Thailand Mobile Expo , Commart , Money Expo เป็นต้น โดยงานต่างๆ เหล่านี้ ต้องย้ายสถานที่จัดไปยังศูนย์ประชุมอื่นแทน ช่วงที่ศูนย์ฯสิริกิติ์ปิดปรับปรุง
– การกลับมาเปิดบริการอีกครั้งในเดือนกันยายน 2565 นี้ คุณศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่างานกลุ่มแรกที่จะเข้ามาจัดในศูนย์ฯ คืองานแฟร์ต่างๆ ที่เคยจัดที่ศูนย์ฯสิริกิติ์อยู่แล้ว เช่น งานสัปดาห์หนังสือ, งานท่องเที่ยว, งานคอมพิวเตอร์-มือถือ งานธุรกิจการเงิน ผู้จัดงานยืนยันแล้วว่าจะกลับมาจัดที่ศูนย์ฯสิริกิติ์แน่นอน เพราะมั่นใจในทำเลที่เดินทางสะดวกและภาพลักษณ์การเป็นศูนย์ประชุมนานาชาติ
– หลังกำหนดเปิดบริการในเดือนกันยายนนี้ มีผู้จัดงานทั้งไทยและต่างประเทศ (เยอรมนี อังกฤษ สิงคโปร์) จองพื้นที่ปี 2565-2566 เข้ามาแล้ว 70% (ใกล้เคียงกับก่อนปิดปรับปรุงที่ทำได้ 80%) โดยปี 2566 มีทั้งหมด 130 งาน รองรับผู้จัดงานและผู้เข้าชมงานปีละ 13 ล้านคน
– เป้าหมายมีลูกค้ากลุ่มเทรดแฟร์ใช้พื้นที่ขนาดใหญ่จากต่างชาติเพิ่มขึ้น เป็นงานรูปแบบ B2B และ Business Matching ลูกค้ากลุ่มเอ็กซิบิชั่น จาก CLMV รองรับงานระดับเวิลด์คลาส เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลาง MICE รวมทั้งงานคอนเสิร์ตใหญ่ ไลฟ์สไตล์โชว์ อีสปอร์ต อาร์ตแกลเลอรี่ โดยวางเป้าหมายลูกค้าต่างชาติจัดงาน 70% แต่ช่วงโควิดนี้คาดว่าจะทำได้ 60% และลูกค้าไทย 40%
– สำหรับงาน APEC 2022 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ศูนย์ฯสิริกิติ์ มีความพร้อมด้านสถานที่จัดงาน ซึ่งกระทรวงต่างประเทศและรัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาเลือกสถานที่
– นอกจากนี้ศูนย์ฯสิริกิติ์ โฉมใหม่ได้แก้ปัญหาเดิม ไม่ว่าจะเป็น ที่จอดรถเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 คัน (จากเดิม 600 คัน) พื้นที่ฮอลล์จัดงานไซส์ใหญ่ มีจุด loading สินค้าและอุปกรณ์สามารถขับรถขนเข้ามาในพื้นที่เอ็กซิบิชั่นฮอลล์ทั้ง 2 ชั้น
เปิดพื้นที่ค้าปลีก 11,000 ตารางเมตร
– สำหรับพื้นที่รีเทลของศูนย์ฯ สิริกิติ์ ขนาด 11,000 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นจากเดิม 30% บริหารโดย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นผู้บริหารพื้นที่ค้าปลีกสามย่านมิตรทาวน์ และสีลมเอจ วางคอนเซ็ปต์เป็น Bangkok Active Lifestyle Mall (BALM) หรือ แอคทีฟไลฟ์สไตล์มอลล์เต็มรูปแบบแห่งแรกของกรุงเทพฯ มีร้านค้าแบรนด์ชั้นนำกว่า 100 ร้าน รองรับผู้จัดงานและผู้เข้าชมงาน ทั้งเจรจาธุรกิจ จุดนัดพบ
– โลเคชั่นโซนพระราม 4 มีทั้งสวนเบญจกิติ สวนลุม โรงแรม อาคารสำนักงาน โดยมีผู้อยู่อาศัยพื้นที่โดยรอบประมาณ 300,000 คน , คนทำงาน 100,000 คน ผู้จัดงานและเข้าชมงาน 13 ล้านคนต่อปี ดังนั้นกลุ่มเป้าหมายของพื้นที่รีเทล จึงเป็นผู้จัดงานและผู้เข้าชมงาน 75%, กลุ่มออกกำลังกาย (สวนเบญจกิติและสวนลุม) 15% และพนักงานออฟฟิศ 10%
– สรุปพื้นที่รีเทล แบ่งเป็น ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 60% เช่น Day Cafe ร้านอาหาร ฟู้ดคอร์ท, บริการอีเวนต์ 20% และกีฬา,อุปกรณ์กีฬา,เครื่องแต่งกาย และการดูแลสุขภาพ 20%
QSNCC 11
ชั้น B1 พื้นที่ 1,600 ตารางเมตร อินเตอร์เนชั่นแนล ฟู้ดคอร์ท รองรับผู้จัดงานและผู้เข้าชมงาน
ชั้น LG พื้นที่ 4,300 ตารางเมตร โซนเชื่อมต่อรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT Gateway และโซน F&B Corridor
ชั้น LM พื้นที่ 2,400 ตารางเมตร ธุรกิจสนับสนุนการจัดอีเวนต์รูปแบบต่างๆ
ชั้น G พื้นที่ 1,800 ตารางเมตร ร้านอาหารและเครื่องดื่มไลฟ์สไตล์
ชั้น 2 พื้นที่ 900 ตารางเมตร พื้นที่บริการทุกรูปแบบสำหรับ Business Matching
ศูนย์ฯสิริกิติ์โฉมใหม่พื้นที่ใหญ่กว่าเดิม 5 เท่า หลังเปิดบริการในเดือนกันยายนนี้ จึงวางเป้าหมายรายได้เพิ่มขึ้น 5 เท่าเช่นกัน โดยพื้นที่รีเทลจะมีสัดส่วน 15% ของรายได้ศูนย์ประชุม | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
||
Retail_55486 | Retail | LVMH จะรักษาความได้เปรียบในธุรกิจ Retail อย่างไร ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงจากทั้งแบรนด์หรูคู่แข่งและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ? | LVMH สามารถรักษาความได้เปรียบในธุรกิจ Retail ได้ดังนี้:
1. มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์การช็อปปิ้งแบบ Omnichannel:
ผสมผสานประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างราบรื่น
พัฒนาแอปพลิเคชันมือถือที่ใช้งานง่าย นำเสนอสินค้าและบริการต่างๆ
นำเสนอบริการ Personalization ให้กับลูกค้า
พัฒนาระบบ Click-and-Collect และ Order-in-Store
นำเสนอบริการ Virtual Shopping Experience
2. ขยายช่องทางจำหน่ายออนไลน์:
ลงทุนในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของตัวเอง
ร่วมมือกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำ
พัฒนากลยุทธ์ Social Commerce
นำเสนอไลฟ์สตรีมมิ่งเพื่อขายสินค้า
3. นำเสนอสินค้าและบริการที่ Exclusive:
พัฒนาสินค้า Limited Edition
นำเสนอบริการ Personalization
มอบประสบการณ์ VIP ให้กับลูกค้า
จัดกิจกรรมพิเศษสำหรับลูกค้า
4. รักษาภาพลักษณ์แบรนด์หรู:
ควบคุมการกระจายสินค้า
รักษาคุณภาพสินค้าและบริการ
สื่อสารภาพลักษณ์แบรนด์หรูผ่านช่องทางต่างๆ
สนับสนุนงานศิลปะและวัฒนธรรม
5. นำเทคโนโลยีมาใช้:
พัฒนา AI และ Machine Learning เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า
นำเสนอบริการ Chatbot
พัฒนาระบบการชำระเงินออนไลน์ที่ปลอดภัย
นำเสนอบริการ AR/VR เพื่อเพิ่มประสบการณ์การช็อปปิ้ง
6. ขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่:
มุ่งเน้นไปที่ตลาดเอเชีย
พัฒนาสินค้าและบริการที่เหมาะกับตลาดท้องถิ่น
ร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่น
7. พัฒนาทรัพยากรบุคคล:
ฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้เกี่ยวกับสินค้าและบริการ
พัฒนาทักษะการบริการลูกค้า
สร้างแรงจูงใจให้กับพนักงาน
8. ติดตามเทรนด์และพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง:
ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค
วิเคราะห์กลยุทธ์ของคู่แข่ง
พัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ
LVMH จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด Retail อย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์การช็อปปิ้งแบบ Omnichannel ขยายช่องทางจำหน่ายออนไลน์ นำเสนอสินค้าและบริการที่ Exclusive รักษาภาพลักษณ์แบรนด์หรู นำเทคโนโลยีมาใช้ ขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ พัฒนาทรัพยากรบุคคล และติดตามเทรนด์และพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ LVMH จะสามารถรักษาความได้เปรียบในธุรกิจ Retail ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
||
Retail_56979 | Retail | แคมเปญ "แต่งบ้านกับสินเชื่อ SCB เติมเฟอร์ให้ฟรีที่ SB Design Square" เป็นการใช้กลยุทธ์ Omnichannel หรือไม่? | ใช่ เหตุผล:
แคมเปญนี้ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เข้าด้วยกัน
ลูกค้าสามารถสมัครสินเชื่อ SCB ผ่านช่องทางออนไลน์ ได้ที่เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของธนาคารไทยพาณิชย์
ลูกค้าสามารถเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ ได้ทั้งที่ SB Design Square สาขาต่างๆ หรือผ่านช่องทางออนไลน์
ลูกค้าสามารถชำระค่าสินค้า ผ่านช่องทางออนไลน์หรือออฟไลน์ได้
ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์ Omnichannel:
ลูกค้าสามารถดูข้อมูลสินค้า บนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของ SB Design Square ก่อนตัดสินใจซื้อ
ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้า ผ่านช่องทางออนไลน์ และไปรับสินค้าที่สาขา SB Design Square ได้
ลูกค้าสามารถสอบถามข้อมูล เกี่ยวกับแคมเปญ ผ่านช่องทางออนไลน์ หรือ พนักงานขายที่ SB Design Square
โดยสรุป แคมเปญ "แต่งบ้านกับสินเชื่อ SCB เติมเฟอร์ให้ฟรีที่ SB Design Square" เป็นการใช้กลยุทธ์ Omnichannel ซึ่งช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าและบริการของ SB Design Square ได้สะดวกยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม เช่น:
ประสบการณ์การใช้งาน ของลูกค้าบนช่องทางออนไลน์
การผสานระบบ ระหว่างช่องทางออนไลน์และออฟไลน์
กลยุทธ์การสื่อสาร แคมเปญ
ดังนั้น SB Design Square จะต้องพัฒนาประสบการณ์การใช้งาน บนช่องทางออนไลน์ และ ผสานระบบระหว่างช่องทางต่างๆ ให้ราบรื่น เพื่อดึงดูดลูกค้าให้ใช้บริการมากขึ้น | Classification | cc-by-nc-4.0 |
||
Retail_36554 | Retail | การขยายตัวของ Bitkub ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก ใช่หรือไม่? | ใช่ เหตุผล:
การเพิ่มช่องทางการชำระเงิน: Bitkub ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถรับชำระเงินด้วย cryptocurrency ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่สำหรับลูกค้า นอกเหนือจากเงินสด บัตรเครดิต และการโอนเงินผ่านธนาคาร
การเข้าถึงลูกค้าใหม่: Bitkub มีผู้ใช้งานมากกว่า 1 ล้านคน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพและกำลังซื้อสูง ธุรกิจค้าปลีกสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่นี้ผ่าน Bitkub
การเพิ่มยอดขาย: การศึกษาโดย Visa พบว่า 40% ของผู้ใช้ cryptocurrency ใช้ cryptocurrency ซื้อสินค้าออนไลน์ ธุรกิจค้าปลีกที่รับ cryptocurrency มีโอกาสเพิ่มยอดขาย
การสร้างภาพลักษณ์ทันสมัย: การรับ cryptocurrency แสดงให้เห็นว่าธุรกิจค้าปลีกมีความทันสมัย
การลดต้นทุน: การใช้ cryptocurrency ชำระเงิน มีค่าธรรมเนียมการชำระเงินที่ต่ำกว่าการใช้บัตรเครดิต
ตัวอย่าง:
Central Retail Group: ห้างสรรพสินค้า Central, Robinson และ Zen เปิดรับชำระเงินด้วย Bitcoin, Ethereum และ Litecoin
Major Cineplex: โรงภาพยนตร์ Major Cineplex เปิดรับชำระเงินด้วย Bitcoin, Ethereum และ Tether
The Mall Group: ห้างสรรพสินค้า The Mall, Emporium และ Siam Paragon เปิดรับชำระเงินด้วย Bitcoin, Ethereum และ KUB Coin
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าปลีกควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้ก่อนเปิดรับ cryptocurrency:
ความผันผวนของราคา cryptocurrency: ราคา cryptocurrency มีความผันผวนสูง ธุรกิจค้าปลีกควรมีกลยุทธ์ในการจัดการความเสี่ยง
กฎระเบียบ: กฎระเบียบเกี่ยวกับ cryptocurrency ยังมีการพัฒนา ธุรกิจค้าปลีกควรติดตามกฎระเบียบอย่างใกล้ชิด
ความรู้ความเข้าใจของลูกค้า: ลูกค้าบางกลุ่มอาจยังไม่เข้าใจ cryptocurrency ธุรกิจค้าปลีกควรให้ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับ cryptocurrency แก่ลูกค้า
สรุป: การขยายตัวของ Bitkub ส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจค้าปลีกสามารถเพิ่มช่องทางการชำระเงิน เข้าถึงลูกค้าใหม่ เพิ่มยอดขาย และสร้างภาพลักษณ์ทันสมัย However, businesses should consider the risks and regulations before accepting cryptocurrency payments. | Classification | cc-by-nc-4.0 |
||
Retail_37077 | Retail | “โค้ก” ให้ความสำคัญกับการฟังเสียงผู้บริโภค เพื่ออะไร | นับเป็นการร่วมมือกันครั้งแรกในรอบ 19 ปี ระหว่าง “โคคา-โคล่า” (Coca Cola) ผู้นำเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่ครองใจผู้บริโภคมายาวนาน ผู้นำตลาดน้ำอัดลม ที่มีมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านบาทในปีที่ผ่านมา อ้างอิงจากรายงานดัชนีค้าปลีกของบริษัท เดอะ นีลเส็น คอมปะนี (ประเทศไทย) จำกัด และ “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” (The Pizza Company) เชนร้านพิซซ่าที่ใหญ่ที่สุดในไทย นอกจากอร่อยซ่าไปด้วยกันผ่านมื้อพิซซ่าแล้ว สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ดีลนี้ ไม่ใช่เพียงการจัดกิจกรรมชั่วคราวเท่านั้น แต่เป็น “การ Synergy เพื่อผสานจุดแข็งของทั้งสองฝ่าย” ที่จะจับมือกันทำกิจกรรมทางการตลาดต่อเนื่องในระยะยาว โดยในฝั่งของ “โคคา-โคล่า” แข็งแกร่งในด้านของแบรนด์เครื่องดื่มระดับโลกอายุกว่า 132 ปี ที่คิดค้นและพัฒนา “นวัตกรรมเครื่องดื่ม” ที่แปลกใหม่อยู่เสมอ จนปัจจุบันไม่ได้มีแค่ “โค้ก” ออริจินัล และไม่มีน้ำตาลเท่านั้น แต่ภายใต้เครือโคคา-โคลา ยังมีเครื่องดื่มอีกมากมายหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลมแบรนด์ แฟนต้า และสไปร์ท ไปจนถึงเครื่องดื่มตอบโจทย์คนรักสุขภาพอย่าง น้ำผลไม้ มินิทเมด และล่าสุดกับเครื่องดื่มชาผสมน้ำผลไม้ ฟิวซ์ที ตลอดเวลาที่ผ่านมา “โค้ก” ให้ความสำคัญกับการฟังเสียงผู้บริโภค เพื่อเข้าใจถึงความต้องการใหม่ๆ และสามารถตอบสนองสิ่งนั้นๆได้อยู่เสมอ เปรียบเสมือนกุญแจสำคัญ ที่ทำให้โค้กสามารถครองใจผู้บริโภคทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยมาได้ยาวนาน จนกลายเป็น “Culture Icon” ที่สามารถเชื่อมโยงความแตกต่าง และความหลากหลายของผู้บริโภคในแต่ละช่วงวัยได้เป็นอย่างดี ขณะที่ “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” มีจุดแข็งสำคัญเรื่อง “สาขา” ที่มีมากถึง 423 แห่งทั่วประเทศ ช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันได้เป็นอย่างดี เพราะยิ่งมีสาขามากเท่าไร จะยิ่งทำให้แบรนด์สามารถเจาะเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น ขณะเดียวกันสาขา ยังทำหน้าที่เป็นจุดจัดส่งสินค้าเดลิเวอรี่ (Delivery) ซึ่งเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ได้นำเทคโนโลยีการให้บริการ รวมทั้งระบบบริหารจัดการหลังบ้าน เข้ามาใช้สำหรับการส่งสินค้า เพื่อตอบโจทย์เรื่อง “สะดวกและรวดเร็ว” ให้กับผู้บริโภค นอกจากนี้เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ยังมีความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยเป็นอย่างดีเช่นกัน จากความสามารถในการคิดค้นนวัตกรรม “พัฒนาเมนูใหม่” ไม่ว่าเป็น รูปแบบพิซซ่า แป้งพิซซ่า ท็อปปิ้ง ตลอดจนเมนูข้าว ที่ปรับรสชาติให้เข้ากับลิ้นคนไทยมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึง “การทำโปรโมชั่นเรื่องราคา” ที่แรงได้ใจผู้บริโภคมาโดยตลอด จากความได้เปรียบด้านการบริหารจัดการซัพพลายเชนร่วมกับธุรกิจอาหารอื่นๆ ภายในเครือ “บริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)” ทำให้เดอะ พิซซ่า คอมปะนี สามารถสร้างกลยุทธ์เหนือคู่แข่งได้ ไม่ว่าจะเป็น ซื้อ 1 แถม 1 การจัดเซ็ทอาหารสุดคุ้ม คอมโบเซ็ท ในราคาตั้งแต่ 199 บาท ไปจนถึง 999 บาท ที่นอกจากสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภคแล้ว และยังเป็นการกระตุ้นยอดขายอีกทาง ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ การจับคู่กันระหว่าง “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” และ “โค้ก” จะเข้ามาส่งเสริมและเติมเต็มประสบการณ์มื้อพิซซ่าให้ผู้บริโภค เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เมื่อมาที่ร้าน “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” หรือสั่งเดลิเวอรี่ ผู้บริโภคจะพบกับเครื่องดื่มจากเครือ “โคคา-โคล่า” ไม่ว่าจะเป็น โค้กออริจินอล โค้กไม่มีน้ำตาล แฟนต้า สไปรท์ และชาฟิวซ์ที คุณธนพร โฆสิตาภัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจพาณิชย์ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด กล่าวว่า นอกจากการจับคู่เครื่องดื่มกับอาหารที่มีอยู่แล้ว ในฐานะพาร์ทเนอร์จะร่วมกันดูแลเรื่องของการบริการ อุปกรณ์การขาย รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการขาย และการโฆษณาที่จะทำร่วมกันต่อไป สำหรับภาพยนตร์โฆษณาชุดแรก จะฉายเฉพาะโรงภาพยนตร์ในเครือเอสเอฟ บอกเล่าเรื่องราวไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ โดยเชื่อมโยงกับสองรสชาติความอร่อยที่รวมเข้าไว้ด้วยกัน ภายใต้แคมเปญ “อร่อยซ่าไปด้วยกัน” พร้อมทั้งใช้พลังของสื่อโฆษณาเคลื่อนที่ นำภาพโฆษณามาเปลี่ยนโฉม “รถส่งโค้ก” จำนวน 300 คัน ที่จะวิ่งรอบกรุงเทพและปริมณฑล คุณภาณุศักดิ์ ซื่อสัตย์บุญ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ภายใต้เครือบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เราเริ่มทำโปรโมชั่นแรกในวันช้อปปิ้ง 11.11 สำหรับทุกออเดอร์ของเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ไม่ว่าจะสั่งกลับบ้านหรือเดลิเวอรี่ จะรับเครื่องดื่มโค้กไม่มีน้ำตาล ฟรี ทันที อย่างไรก็ตาม ทางผู้บริหารทั้ง 2 ฝ่าย ยืนยันว่า การได้อีกฝ่ายมาเป็นพาร์ทเนอร์ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ยอดขายของบริษัทเติบโต นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของดีลระยะยาวเท่านั้น ต้องรอดูต่อไปว่า หลังจากนี้จะเกิดกิจกรรมอะไรขึ้นอีก | “โค้ก” ให้ความสำคัญกับการฟังเสียงผู้บริโภค เพื่อเข้าใจถึงความต้องการใหม่ๆ และสามารถตอบสนองสิ่งนั้นๆได้อยู่เสมอ เปรียบเสมือนกุญแจสำคัญ ที่ทำให้โค้กสามารถครองใจผู้บริโภคทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยมาได้ยาวนาน จนกลายเป็น “Culture Icon” ที่สามารถเชื่อมโยงความแตกต่าง และความหลากหลายของผู้บริโภคในแต่ละช่วงวัยได้เป็นอย่างดี | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
|
Retail_38370 | Retail | อายิโนะโมะโต๊ะยกระดับสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพของมนุษย์ อย่างไร | อายิโนะโมะโต๊ะ คือหนึ่งในผู้นำของตลาดผงชูรส และเครื่องปรุงรสอย่างไม่ต้องสัย เพราะเป็นผู้ค้นพบรสชาติอูมามิ และนำรสชาตินั้นพัฒนาสินค้าต่าง ๆ จนแข็งแกร่งทั้งในประเทศญี่ปุ่น และตลาดอื่น ๆ ทั่วโลก
แต่กระแสรักสุขภาพ และรักษ์โลกเติบโตต่อเนื่อง อายิโนะโมะโต๊ะ คงใช้จุดแข็งเรื่องดังกล่าวทำตลาดในระยะยาวไม่ได้ จึงเป็นที่มาของการปรับวิสัยทัศน์องค์กรครั้งสำคัญเพื่อมุ่งสู่องค์กรเพื่อสุขภาวะมนุษย์ สังคม และโลกของทุกคน
จากจำหน่ายผงชูรส และเครื่องปรุงอื่น ๆ อายิโนะโมะโต๊ะ จะทำอย่างไรเพื่อไปถึงเป้าหมายดังกล่าว Brand Inside มีโอกาสพูดคุยกับ อิชิโระ ซะกะกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด ดังนี้
อะยิโนะโมะโต๊ะ
กรดอะมิโน ที่ขึ้นมามีบทบาทมากขึ้น
อิชิโระ ซะกะกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด เล่าให้ฟังว่า บริษัทคือผู้นำในการผลิตกรดอะมิโน และกรดอะมิโนคือส่วนประกอบสำคัญในการทำตลาดสินค้าต่าง ๆ ของบริษัท ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มรสชาติความอร่อย, การใช้เพื่อรักษาสุขภาพ, การใช้งานในทางโภชนาการ และการใช้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่
“ตั้งแต่ผงชูรส, อาหารเสริม, อาหารทางการแพทย์ และผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น แผ่นฟิล์มอุตสาหกรรม ทั้งหมดนี้ล้วนมีกรดอะมิโนเป็นส่วนประกอบ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของกรดอะมิโนต่อ อะยิโนะโมะโต๊ะ และหลังจากนี้เราจะใช้ AminoScience เพื่อให้มนุษย์, สังคม และโลกของเราได้อยู่ดีมีสุข”
อย่างไรก็ตามเมื่อปีงบประมาณ 2021 หากแบ่งตามสัดส่วนรายได้ของ อายิโนะโมะโต๊ะ กรุ๊ป จะพบว่า รายได้จากธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร เช่น เครื่องปรุงรส และอาหารแช่แข็งจะกินสัดส่วนถึง 70% ส่วนที่เหลือจะมาจากธุรกิจเกี่ยวกับ AminoScience เช่น สินค้าสุขภาพ และอื่น ๆ แต่ในปี 2030 ทั้งสองธุรกิจจะมีสัดส่วนเท่ากัน
อะยิโนะโมะโต๊ะ
อะยิโนะโมะโต๊ะ
ยกระดับสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพของมนุษย์
หากเริ่มที่การยกระดับสุขภาพของมนุษย์จะพบว่า อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) มีการเตรียมทำตลาดสินค้าที่เน้นเรื่องโภชนาการมากขึ้น เช่น กลุ่มเครื่องปรุง และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีโซเดียมต่ำ หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อย หรือปราศจากน้ำตาล
นอกจากนี้ยังเตรียมทำตลาดสินค้าเกี่ยวกับโภชนาการทางกีฬา เช่น กรดอะมิโน BCAA ที่ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ รวมถึงสินค้าอาหารเสริมต่าง ๆ ที่มีกรดอะมิโนเป็นส่วนประกอบหลักที่กำลังเตรียมเปิดตัวหลังจากนี้ แต่ยังไม่สามารถระบุแบรนด์ หรือประเภทสินค้าได้
“ประเทศไทยอยู่ระหว่างเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ และ อะยิโนะโมะโต๊ะ ต้องการเข้าไปดูแลคนไทยกว่า 3 ล้านคน เพื่อให้พวกเขามีสุขภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยบริษัทจะเปิดตัวสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพ และโภชนาการมากกว่า 10 อย่าง ภายในปี 2030 เช่น สินค้าที่ช่วยเหลือการเคลื่อนไหวผู้สูงอายุ และสินค้าที่ดูแลคุณภาพในการนอนหลับ เป็นต้น”
อะยิโนะโมะโต๊ะอะยิโนะโมะโต๊ะ
สังคม และโลกก็ต้องไม่ทิ้งการลงทุน
ขณะเดียวกัน อะยิโนะโมะโต๊ะ ยังวางแผนลงทุนในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบที่จะสร้างกับสังคม และโลกลง 50% ภายในปี 2030 เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 50% และการไม่ก่อให้เกิดขยะพลาสติก รวมถึงลดการเกิดขยะจากอาหารต่าง ๆ 50% และคืนน้ำที่ใช้กลับสู่ธรรมชาติอีก 80% เช่นกัน
“อะยิโนะโมะโต๊ะ จะช่วยเกษตรกรในประเทศไทยด้วย เนื่องจากเราใช้มันสำปะหลังถึง 2 แสนตัน/ปี หรือคิดเป็น 20% ของผลผลิตมันสำปะหลังที่จำหน่ายในประเทศไทย 1 ล้านตัน/ปี เราจึงต้องช่วยเกษตรกรในแง่มุมต่าง ๆ เช่น การกำจัดโรคเกี่ยวกับพืชอย่างถูกต้องเพื่อเติบโตไปด้วยกัน”
สำหรับในประเทศไทย อะยิโนะโมะโต๊ะ แบ่งสินค้าเป็น 3 กลุ่มคือ
ผลิตภัณฑ์ค้าปลีก เช่น เครื่องปรุงรส, เครื่องดื่ม, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป, อาหารแช่แข็ง และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ
ผลิตภัณฑ์ธุรกิจบริการอาหาร เช่น กลุ่มสินค้าข้างต้นที่จำหน่ายเข้าไปที่ภาคธุรกิจต่าง ๆ
ผลิตภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรม เช่น เอนไซม์จากกรดอะมิโนรูปแบบต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ผลิตสินค้าเชิงธุรกิจ
หากแบ่งเป็นสัดส่วนรายได้ในประเทศไทยจะพบว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้จะมาจากกลุ่มสินค้าเครื่องปรุงรส ส่วนที่เหลือจะมาจากเครื่องดื่ม 25% เช่น กาแฟเบอร์ดี้ และอีก 25% จะมาจากการจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ ในรูปแบบธุรกิจ หรือ B2B ส่วนสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพยังมีสัดส่วนที่น้อยมาก | หากเริ่มที่การยกระดับสุขภาพของมนุษย์จะพบว่า อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) มีการเตรียมทำตลาดสินค้าที่เน้นเรื่องโภชนาการมากขึ้น เช่น กลุ่มเครื่องปรุง และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีโซเดียมต่ำ หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อย หรือปราศจากน้ำตาล
นอกจากนี้ยังเตรียมทำตลาดสินค้าเกี่ยวกับโภชนาการทางกีฬา เช่น กรดอะมิโน BCAA ที่ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ รวมถึงสินค้าอาหารเสริมต่าง ๆ ที่มีกรดอะมิโนเป็นส่วนประกอบหลักที่กำลังเตรียมเปิดตัวหลังจากนี้ แต่ยังไม่สามารถระบุแบรนด์ หรือประเภทสินค้าได้
“ประเทศไทยอยู่ระหว่างเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ และ อะยิโนะโมะโต๊ะ ต้องการเข้าไปดูแลคนไทยกว่า 3 ล้านคน เพื่อให้พวกเขามีสุขภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยบริษัทจะเปิดตัวสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพ และโภชนาการมากกว่า 10 อย่าง ภายในปี 2030 เช่น สินค้าที่ช่วยเหลือการเคลื่อนไหวผู้สูงอายุ และสินค้าที่ดูแลคุณภาพในการนอนหลับ เป็นต้น” | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
|
Retail_38184 | Retail | อะไรคือกลยุทธ์หลักของ Shell ในการเพิ่มยอดขาย Non-Oil ในปั๊มน้ำมัน? | Shell มุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์หลัก 3 ประการในการเพิ่มยอดขาย Non-Oil ในปั๊มน้ำมัน:
1. พัฒนาธุรกิจ Non-Oil ที่มีอยู่:
ร้านค้าสะดวกซื้อ Select: ปรับปรุงสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ เน้นสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารพร้อมทาน และเครื่องดื่ม
ร้านเบอเกอรี่ Deli Café: พัฒนาเมนูใหม่และเพิ่มตัวเลือกของหวานเพื่อดึงดูดลูกค้า
2. ปรับภูมิทัศน์ภายในปั๊ม:
จัดวางหัวจ่าย ร้านค้า และห้องน้ำใหม่ ให้มีทางเดินที่สะดวก ลื่นไหล
เพิ่มพื้นที่สำหรับร้านค้าและบริการอื่นๆ เช่น ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ฟิตเนส
3. ขยายปั๊มน้ำมันใหม่:
มุ่งเน้นไปที่ปั๊มน้ำมันพรีเมียม จำหน่ายน้ำมัน V-Power Gasohol 95 กับ V-Power Diesel
ตั้งเป้าขยายปั๊มน้ำมันใหม่ 30 แห่งต่อปี
กลยุทธ์เพิ่มเติม:
มุ่งเน้นการสร้าง Consumer Journey ที่ดีให้กับผู้ใช้บริการ เชื่อมต่อประสบการณ์ทั้งภายในปั๊มและระหว่างปั๊ม
นำเสนอโปรโมชั่นและกิจกรรมส่งเสริมการขาย ดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ
พัฒนาระบบสมาชิกเพื่อมอบสิทธิพิเศษและส่วนลด
ลงทุนในเทคโนโลยี นำระบบดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ
เหตุผลที่ Shell มุ่งเน้นธุรกิจ Non-Oil:
ตลาดน้ำมันมีการเติบโตต่ำ
ธุรกิจ Non-Oil มีกำไรสูงกว่า
ช่วยดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการในปั๊มน้ำมัน
เพิ่มโอกาสในการจำหน่ายสินค้าและบริการอื่นๆ
ตัวอย่าง:
Shell เปิดตัว เชลล์ คาเฟ่แห่งแรก: เน้นกาแฟและเครื่องดื่มคุณภาพ ดึงดูดกลุ่มลูกค้าวัยทำงานและนักศึกษา
PT ทุ่ม 65 ล้านบาทลุย Fast Fit: เพิ่มบริการซ่อมบำรุงรถยนต์ ดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว
ผลลัพธ์:
Shell รักษาอันดับ 3 ของผู้ค้าน้ำมันในประเทศไทย
ยอดขาย Non-Oil ของ Shell เติบโตเหนือตลาด
ข้อจำกัด:
การลงทุนในธุรกิจ Non-Oil จำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก
การแข่งขันในธุรกิจ Non-Oil ค่อนข้างสูง
ผู้บริโภคอาจยังไม่คุ้นเคยกับสินค้าและบริการ Non-Oil ของ Shell
บทสรุป:
Shell มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจ Non-Oil ในปั๊มน้ำมันอย่างจริงจัง โดยใช้กลยุทธ์ต่างๆ เช่น พัฒนาธุรกิจ Non-Oil ที่มีอยู่ ปรับภูมิทัศน์ภายในปั๊ม และขยายปั๊มน้ำมันใหม่ กลยุทธ์เหล่านี้ จะช่วยเพิ่มยอดขาย Non-Oil ดึงดูดลูกค้า และสร้างรายได้ให้กับ Shell ในระยะยาว | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
||
Retail_54747 | Retail | จากกลยุทธ์การค้าปลีกแบบออนไลน์ของเทสโก้ โลตัส อะไรคือกลยุทธ์ที่น่าสนใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ ได้ | กลยุทธ์ที่น่าสนใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ ได้ มีดังนี้
1. ผสมผสานออนไลน์และออฟไลน์ (Omnichannel):
ลูกค้าสามารถสั่งสินค้าออนไลน์และรับสินค้าที่หน้าร้าน
ลูกค้าสามารถตรวจสอบสต๊อกสินค้าออนไลน์ก่อนไปที่หน้าร้าน
ลูกค้าสามารถชำระเงินออนไลน์และไปรับสินค้าที่หน้าร้าน
2. เน้นจุดแข็งที่มี:
เทสโก้ โลตัสมี Physical Store ครอบคลุมทั่วประเทศ
มีสินค้าหลากหลายประเภท
มี Connection ที่ดีกับซัพพลายเออร์ และแบรนด์ต่างๆ
3. พัฒนาบริการใหม่ ๆ:
บริการ ShopBox24 มุ่งเน้นลูกค้าที่อาศัยในคอนโดมิเนียม
บริการ Click & Collect
บริการส่งสินค้าทางมอเตอร์ไซต์
4. ลงทุนในเทคโนโลยี:
เทคโนโลยี iBeacon ป้อนข้อมูลเข้าสมาร์ทโฟนของลูกค้า
5. เข้าใจพฤติกรรมลูกค้า:
77% ของลูกค้าออนไลน์เป็นผู้หญิง
23% ของลูกค้าออนไลน์เป็นผู้ชาย
กลุ่มลูกค้าอายุอยู่ระหว่าง 25 – 44 ปี
6. วิเคราะห์ข้อมูล:
วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อเข้าใจความต้องการ พฤติกรรม และการตัดสินใจซื้อ
วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาจุดอ่อนและจุดแข็ง
ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม
7. มุ่งเน้นการวัดผลและวิเคราะห์:
ติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณา
วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาจุดอ่อนและจุดแข็ง
ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม
สรุป:
กลยุทธ์การค้าปลีกแบบออนไลน์ของเทสโก้ โลตัส
เน้นการผสมผสานออนไลน์และออฟไลน์
เน้นจุดแข็งที่มี พัฒนาบริการใหม่ ๆ
ลงทุนในเทคโนโลยี เข้าใจพฤติกรรมลูกค้า
วิเคราะห์ข้อมูล และมุ่งเน้นการวัดผลและวิเคราะห์
กลยุทธ์เหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ ได้
แต่ธุรกิจแต่ละประเภท
ก็ควรปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสินค้า
กลุ่มลูกค้า และเป้าหมายทางธุรกิจของตัวเอง | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
||
Medical_11653 | Medical | ช่วยสรุปบทความ ยาวาลซาร์แทน ให้หน่อย | ยาวาลซาร์แทน Valsartan ยาวาลซาร์แทนมีสรรพคุณ คุณสมบัติ อย่างไร ยาวาลซาร์แทนมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร ยาวาลซาร์แทนมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร ยาวาลซาร์แทนมีขนาดรับประทานหรือวิธีใช้ยาอย่างไร เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร ยาวาลซาร์แทนมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร มีข้อควรระวังการใช้ยาวาลซาร์แทนอย่างไร ยาวาลซาร์แทนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร ควรเก็บรักษายาวาลซาร์แทนอย่างไร ยาวาลซาร์แทนมีชื่ออื่นอีกไหม ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง ยารักษาโรค Pharmaceutical drug ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด ความดันโลหิตสูง Hypertension ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะหัวใจวาย Heart failure โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน Acute myocardial infarction แอนจิโอเทนซิน II รีเซพเตอร์ แอนตาโกนิสต์ Angiotensin II receptor antagonist ยาลดความดัน ยาลดความดันเลือดสูง ยาลดความดันโลหิตสูง Antihypertensive drug ยาวาลซาร์แทน Valsartan เป็นยารักษาภาวะความดันโลหิตสูง ยาลดความดันยาลดความดันเลือดสูง จัดอยู่ในกลุ่ม แองจิโอ เทนซิน 2 รีเซพเตอร์ บล็อกเกอร์ Angiotensin II receptor blocker Angiotension II receptor antagonist ARB โดยยาในกลุ่มนี้ มีผลปิดกั้นตัวรับแองจิโอเทนซิน 2 Angiotensin II receptor จึงมีผลทำให้หลอดเลือดขยายตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลอดเลือดแดงที่ไต แต่มีผลน้อยต่อหลอดเลือดแดงที่สมอง ปอด และกล้ามเนื้อลาย ซึ่งทำให้มีผลรวมแรงต้านภายในหลอดเลือด Total peripheral resistance ลดลง ความดันโลหิตจึงมีค่าลดลง นอกจากนี้ยาวาลซาร์แทน ยังสามารถลดการหลั่งสารอัลโดสเตอโรน Aldersterone จากต่อมหมวกไต ซึ่งฮอร์โมนนี้ส่งผลทำให้ลดการขับแร่ธาตุโพแทสเซียม เพิ่มการขับแร่ธาตุโซเดียม และน้ำออกจากร่างกาย ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลง แต่ยานี้ไม่มีผลต่อ แบรดดีไคนิน Bradykinin สารช่วยขยายหลอดเลือด ดังนั้นยาในกลุ่มนี้จึงไม่มีผลข้างเคียงจากแบรดดีไคนิน คือ อาการไอแห้ง บวมชนิดแองจิโอเอดดิมา Angioedema การบวมที่เกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือด ทั้งนี้ แพทย์สามารถเลือกใช้ยาวาลซาร์แทน เป็นยาชนิดเดี่ยวในการรักษา หรือใช้ควบคู่กับยารักษาความดันโลหิตสูงชนิดอื่น เพื่อรักษาภาวะความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยที่ไม่ทราบสา เหตุชัดเจน PrimaryEssential Hypertension ได้ นอกจากนี้ยาวาลซาร์แทนยังช่วยลดอัตราการตายในผู้ป่วยที่มีภาวะหลังกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายขาดเลือด Left Ventricular dysfunction postmyocardial infarction และใช้ในการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว Heart Failure ได้ ยาวาลซาร์แทนมีสรรพคุณ คุณสมบัติ อย่างไร ยาวาวซาแทนมีข้อบ่งใช้สรรพคุณ เช่น รักษาภาวะโรคความดันโลหิตสูง Hypertension รักษาภาวะหัวใจล้มเหลว Heart Failure รักษาภาวะหลังกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายขาดเลือด Left Ventricular dysfunction post myocardial infarction แนะนำอ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ยาวาลซาร์แทนมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร ยาวาวซาแทนมีกลไกการออกฤทธิ์ โดยตัวยาจะปิดกั้นตัวรับแองจิโอเทนซิน 2 รีเซพเตอร์ Angiotensin II receptor blocker Angiosentin II receptor antagonist ARB ซึ่งตัวรับชนิดดังกล่าวมีผลต่อหลอดเลือดแดง โดยทำให้หลอดเลือดแดงหดตัว ซึ่งส่งผลทำให้ผลรวมแรงต้านภายในหลอดเลือดเพิ่มสูง ขึ้น ความดันโลหิตจึงสูงขึ้น และส่งผลเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนอัลโดสเตอโรน Aldosterone จากต่อมหมวกไต โดยฮอร์โมนดังกล่าวมีผลเพิ่มการขับโพแทสเซียมออกทางปัสสาวะ การดูดกลับโซเดียมและน้ำเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบยาในกลุ่มนี้ คู่กับยาในกลุ่ม Angiotensin-converting enzyme inhibitors ACE inhibitors ยาลดความดันโลหิตโดยช่วยทำให้ผนังหลอดเลือดหย่อน เช่น Captopril Enalapril lisinopril Perindopril Ramipril Moexipril ซึ่งยาทั้งสองกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต่อ Renin angiotensin systemระบบฮอร์โมน Renin จากไตที่ช่วยคงความดันโลหิตโดยการควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือแร่ที่จะปล่อยออกทางปัสสาวะ RAS blocking agents ยาในกลุ่ม ARB ซึ่งรวมยาวาลซาร์แทนด้วย ไม่มีกลไกเกี่ยวข้องกับสารแบรดดีไคนิน Bradykinin ดังนั้นยาในกลุ่มนี้จึงไม่มีผลข้างเคียงจากแบรดดีไคนิน คือ อาการไอแห้ง บวมชนิดแองจิโอเอดดิมา Angioedema แพทย์จึงอาจเปลี่ยนแปลงการใช้ยาในผู้ป่วยที่ใช้ยากลุ่ม ACE inhibitors แล้วมีผลข้างเคียงจากยามาเป็นยาในกลุ่ม ARB ได้ ยาวาลซาร์แทนมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร รูปแบบที่มีจำหน่ายของยาวาลซาร์แทน ยาเม็ดขนาด 80 160 และ 320 มิลลิกรัม นอกจากนี้ยังมียาสูตรผสมระหว่างยาวาลซาร์แทนกับยาลดความดันโลหิตสูงชนิดอื่นๆจำหน่ายเช่นกัน ซึ่งจะไม่ขอกล่าวในบทความนี้ ยาวาลซาร์แทนมีขนาดรับประทานหรือวิธีใช้ยาอย่างไร ยาวาลซาร์แทนมีขนาดรับประทานหรือวิธีใช้ยา เช่น สามารถรับประทานยาวาลซาร์แทนได้ทั้งก่อนหรือหลังอาหาร โดยอาหารไม่มีผลต่อการดูดซึมยา ขนาดยาวาลซาร์แทนสำหรับความดันโลหิตสูง คือ 80 มิลลิกรัม หรือ 160 มิลลิ กรัม วันละ 1 ครั้ง โดยจะเห็นผลในการลดความดันภายใน 2 สัปดาห์หลังใช้ยา และยาจะออกฤทธิ์สูงสุดหลังให้ยาประมาณ 4 สัปดาห์ สามารถเพิ่มขนาดยาเป็น 320 มิลลิกรัมต่อวันได้ หรือเพิ่มยาขับปัสสาวะร่วมด้วยได้ในกรณีที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ ขนาดยาวาล์ซาร์แทนสำหรับภาวะหัวใจล้มเหลว อาจเริ่มด้วยขนาด 40 มิลลิ กรัม วันละ 2 ครั้ง โดยอาจเพิ่มขนาดยาสูงสุดเป็น 80 มิลลิกรัม หรือ 160 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ขนาดยาสูงสุดต่อวันไม่เกิน 320 มิลลิกรัม โดยจำเป็นต้องประเมินผลการทำงานของไตร่วมด้วยก่อนและระหว่างใช้ยา การรักษาภาวะหลังกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โดยเริ่มรักษาได้ภายใน 12 ชั่ว โมงหลังการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โดยเริ่มต้นที่ขนาดยา 20 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง และเพิ่มสูงสุด 160 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง สามารถใช้ยาวาลซาร์แทนคู่กับยาสลายลิ่มเลือดได้ อนึ่ง ขนาดยานี้ที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น เป็นขนาดยาในผู้ใหญ่ กรณีผู้ป่วยที่มีภาวะการทำงานของไตบกพร่อง ไม่จำเป็นต้องปรับขนาดยาวาร์ซาลแทน แต่ควรระมัดระวังการใช้ยานี้ในรายที่มีภาวะการทำงานของไตบกพร่องรุนแรง ค่าการทำงานของไต GFR Glomerular infiltration rate น้อยกว่า 10 มิลลิลิตรนาที เนื่องจากข้อมูลยังมีไม่เพียงพอ กรณีผู้ป่วยเด็ก นิยามคำว่าเด็ก อายุ 6 - 16 ปี มีข้อบ่งใช้เฉพาะในภาวะความดันโลหิตสูง โดยขนาดยาแนะนำคือ เริ่มต้น 1.3 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม วันละครั้ง ขนาดยาสูงสุดต่อวัน คือไม่เกิน 40 มิลลิกรัม อาจเพิ่มขนาดยาเป็นมากกว่า 2.7 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม กรณีต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของยา โดยขนาดยาสูงสุดกรณีเพิ่มขนาดยาไม่เกิน คือ 160 มิลลิกรัม แต่ขนาดยานี้ยังไม่มีผลการศึกษายืนยัน กรณีอายุต่ำกว่า 6 ปี การใช้ยานี้ต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ หมายเหตุ ขนาดยา และระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ผู้รักษาได้ การใช้ยาที่เหมาะสม ควรต้องปรึกษา แพทย์ หรือเภสัชกร ก่อนเสมอ เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมทั้งยาวาลซาร์แทน ผู้ป่วยควรแจ้ง แพทย์ พยาบาล และเภสัชกร เช่น ประวัติแพ้ยาทุกชนิด รวมทั้งเคยแพ้ยาวาลซาร์แทนหรือไม่ มีโรคประจำตัวต่างๆรวมทั้งกำลังกินยาใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาวาลซาร์แทน อาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กินที่ใช้อยู่ก่อนแล้ว หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์มีครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนมหรือรก และเข้าสู่ทารก จนก่อผลข้างเคียงได้ หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร หากลืมรับประทานยาต่างๆรวมทั้งยาวาลซาร์แทน สามารถรับประทานยาเมื่อนึกขึ้นได้ หากเวลาที่นึกขึ้นได้ใกล้เคียงกับการรับประทานยาในมื้อถัดไป ให้รับประทานยามื้อนั้นในขนาดปกติ ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า ยาวาลซาร์แทนมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร ผลอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา หรือผลข้างเคียงอาการข้างเคียงของยาวาลซาร์แทน เช่น อาการปวดศีรษะ ปวดหัว มึนงง Dizziness ค่าการทำงานของไตลดลง อาการบวม Angioedema ขึ้นผื่น คัน มีข้อควรระวังการใช้ยาวาลซาร์แทนอย่างไร มีข้อควรระวังการใช้ยาวาลซาร์แทน ดังนี้ เช่น ห้ามใช้กับผู้ป่วยที่แพ้ยานี้ ห้ามใช้ยานี้ใน หญิงตั้งครรภ์ และหญิงที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร ปรึกษาและพบแพทย์ไปโรงพยาบาลทันที ที่เมื่อกินยานี้แล้วมีอาการ ซึม คลื่นไส้-อาเจียน เกิดขึ้นรวมไปถึงมีอาการบวมของใบหน้า ริมฝีปาก ลำคอ หลอดลม กล่องเสียงและสายเสียง แน่น หายใจลำบาก เสียงแหบ ที่อาจก่อให้เกิดการอุดตันของทางเดินหายใจ ยานี้อาจทำให้เกิดภาวะไตวายได้ จึงควรระมัดระวังการใช้ยา โดยใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น ยานี้สามารถทำให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงได้ อาการเช่น อ่อนเพลีย หัวใจเต้นผิดปกติ ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้ ห้ามใช้ยาหมดอายุ ห้ามเก็บยาหมดอายุ อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ยา ที่รวมถึง ยาแผนปัจจุบันทุกชนิดรวมยาวาลซาร์แทน ยาแผนโบราญ อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทุกชนิด และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะ ยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกชนิด ควรต้องปฏิบัติตาม ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด เสมอ อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน ยาวาลซาร์แทนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร ยาวาลซาร์แทนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น การให้ยาวาลซาร์แทนคู่กับยากลุ่มเอ็นเสด NSAIDs เช่นยา ไอบูโพรเฟน Ibuprofen ยาเอนโดเมททาซิน Indomethasin รวมถึงยากลุ่ม Selective COX-2 inhibitors เช่น Celecoxib อาจทำให้ฤทธิ์ของยาลดความดันโลหิตสูงลดลง รวมถึงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการทำให้ไตมีการทำงานผิดปกติมากขึ้น จึงแนะนำให้ตรวจภาวะการทำงานของไต โดยติดตามค่าการทำงานของไตอย่างใกล้ชิด กรณีผู้ป่วยกำลังได้รับยาทั้งสองชนิดร่วมกันอยู่ ควรเก็บรักษายาวาลซาร์แทนอย่างไร ควรเก็บยาวาลซาร์แทน เช่น เก็บยาที่อุณหภูมิห้อง ไม่เก็บยาในที่ร้อน ถูกแสงแสงแดด ความชื้น ควรเก็บยาในภาชนะบรรจุเดิม เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง และ ไม่ควรเก็บยาในห้องน้ำ ยาวาลซาร์แทนมีชื่ออื่นอีกไหม ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง ยาวาลซาร์แทน มียาชื่อการค้า และบริษัทผู้ผลิต เช่น ชื่อการค้า บริษัทผู้ผลิต Diovan ดีโอแวน Novartis Valatan วาลาแทน Silom medica 1. ณัฐวุธ สิบหมู่ และคณะ. เภสัชวิทยา เนื้อหาสำคัญและแบบฝึกหัด. กรุงเทพฯ บริษัท โฮลิสติก พับลิชชิ่ง จำกัด 2552 | ยาวาลซาร์แทน (Valsartan) เป็นยาที่ใช้รักษาภาวะความดันโลหิตสูง (Hypertension) และภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure) รวมถึงภาวะหลังกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Left Ventricular dysfunction post myocardial infarction) โดยมีคุณสมบัติและกลไกการออกฤทธิ์หลักดังนี้:
- กลไกการออกฤทธิ์: ยาวาลซาร์แทนเป็น Angiotensin II receptor blocker (ARB) ซึ่งทำหน้าที่ปิดกั้นตัวรับแองจิโอเทนซิน 2 (Angiotensin II receptor) ในหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดขยายตัวและลดความดันโลหิต นอกจากนี้ยังช่วยลดการหลั่งสารอัลโดสเตอโรนที่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
- รูปแบบการจัดจำหน่าย: ยาวาลซาร์แทนมีจำหน่ายในรูปแบบยาเม็ดขนาด 80, 160 และ 320 มิลลิกรัม
- วิธีใช้ยา: สามารถรับประทานได้ทั้งก่อนหรือหลังอาหาร ขนาดยาสำหรับภาวะความดันโลหิตสูงเริ่มที่ 80 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง และสามารถเพิ่มขนาดยาได้สูงสุดถึง 320 มิลลิกรัม
- ผลข้างเคียง: อาจเกิดอาการปวดหัว, มึนงง, บวม, ผื่นคัน, หรือการทำงานของไตผิดปกติ
- ข้อควรระวัง: ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ยา, หญิงตั้งครรภ์, หญิงให้นมบุตร, และผู้ที่มีปัญหาการทำงานของไต
- ปฏิกิริยาระหว่างยา: อาจเกิดปฏิกิริยากับยาในกลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน, ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพของยาวาลซาร์แทน
- การเก็บรักษา: ควรเก็บในที่อุณหภูมิห้องและพ้นแสงแดด, ความชื้น, และมือเด็ก
ยาวาลซาร์แทน ยังสามารถใช้ร่วมกับยาอื่นๆ ในการรักษาความดันโลหิตสูง และในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อยาชนิดเดียว | 12.อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1484 | Finance | กองทุนปันผล เหมาะกับนักลงทุนแบบใด | รวมกองทุนปันผล Best In Class
กองทุนไหนมีปันผลดี และรวม Capital Gain แล้วยังกำไร? กองทุนไหนมีปันผลดี และรวม Capital Gain แล้วยังกำไร? วันนี้ เด็กการเงิน ขอพาทุกคนมาดูเรื่องกองทุนปันผลว่ากองใดบ้างที่จ่ายปันผลมากสุดในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา และมูลค่าปัจจุบันของกองทุนยังกำไรด้วย เพราะอย่างที่เราทราบกันดีแล้วว่า เมื่อกองทุนมีการจ่ายปันผลออกมาแล้ว มูลค่าเงินในกองทุนหรือ NAV จะลดลงประมาณเท่ากับเงินปันผลที่จ่ายออกมานั่นเอง วันนี้ เด็กการเงิน ขอพาทุกคนมาดูเรื่องกองทุนปันผลว่ากองใดบ้างที่จ่ายปันผลมากสุดในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา และมูลค่าปัจจุบันของกองทุนยังกำไรด้วย เพราะอย่างที่เราทราบกันดีแล้วว่า เมื่อกองทุนมีการจ่ายปันผลออกมาแล้ว มูลค่าเงินในกองทุนหรือ NAV จะลดลงประมาณเท่ากับเงินปันผลที่จ่ายออกมานั่นเอง สิ่งที่จะได้จากบทความนี้ หุ้นปันผล vs กองทุนปันผล เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?
กองทุนปันผลเหมาะกับใคร? ควรเลือกกองทุนปันผลอย่างไร? และมีข้อควรระวังอย่างไร?
รวมกองทุนปันผล Best in Class 3 ปีย้อนหลัง กองไหนปันผลดี และรวม Capital Gain แล้วยังกำไร? หุ้นปันผล vs กองทุนปันผล เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร? กองทุนปันผลเหมาะกับใคร? ควรเลือกกองทุนปันผลอย่างไร? และมีข้อควรระวังอย่างไร? รวมกองทุนปันผล Best in Class 3 ปีย้อนหลัง กองไหนปันผลดี และรวม Capital Gain แล้วยังกำไร? มาเริ่มกันเลย มาเริ่มกันเลย หุ้นปันผล vs. กองทุนปันผล เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร? ปกติแล้วหุ้นจะมีอัตราเงินปันผล หรือ Dividend Yield บอก ซึ่งก็คำนวณมาจาก เงินปันผลต่อหุ้น/ราคา แต่ในส่วนของกองทุนปันผลนั้นจะบอกแค่ว่า กองทุนปันผลคิดเป็นกี่บาทต่อหน่วยในแต่ละครั้ง ดังนั้นนักลงทุนจะไม่ทราบว่า Dividend Yield เป็นเท่าไร แต่อย่างไรก็ตามวันนี้เราได้รวบรวมกองทุนที่จ่ายปันผลดีที่สุด 3 ปีมาให้แล้วซึ่งจะกล่าวต่อไปด้านล่าง ซึ่ง Dividend Yield ของกองทุนนี้ได้รวบรวมมาจาก App Fin Premium ปกติแล้วหุ้นจะมีอัตราเงินปันผล หรือ Dividend Yield บอก ซึ่งก็คำนวณมาจาก เงินปันผลต่อหุ้น/ราคา แต่ในส่วนของกองทุนปันผลนั้นจะบอกแค่ว่า กองทุนปันผลคิดเป็นกี่บาทต่อหน่วยในแต่ละครั้ง ดังนั้นนักลงทุนจะไม่ทราบว่า Dividend Yield เป็นเท่าไร แต่อย่างไรก็ตามวันนี้เราได้รวบรวมกองทุนที่จ่ายปันผลดีที่สุด 3 ปีมาให้แล้วซึ่งจะกล่าวต่อไปด้านล่าง ซึ่ง Dividend Yield ของกองทุนนี้ได้รวบรวมมาจาก App Fin Premium กองทุนปันผลเหมาะกับใคร? ควรเลือกกองทุนปันผลอย่างไร? และมีข้อควรระวังอย่างไร? กองทุนปันผลเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการ Cash flow ไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน หรือถ้าหากในสภาวะตลาดขาลง การได้รับปันผลมาเก็บไว้ก่อน ก็จะช่วยให้มูลค่าเงินรวมของเราขาดทุนน้อยลงนั่นเอง กองทุนปันผลเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการ Cash flow ไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน หรือถ้าหากในสภาวะตลาดขาลง การได้รับปันผลมาเก็บไว้ก่อน ก็จะช่วยให้มูลค่าเงินรวมของเราขาดทุนน้อยลงนั่นเอง ถ้าวัตถุประสงค์ของเราคือต้องการ Cash flow อย่างต่อเนื่องแล้ว เราก็ต้องพิจารณาเลือกกองทุนปันผลที่มี Dividend Yield สูง มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ถ้าวัตถุประสงค์ของเราคือต้องการ Cash flow อย่างต่อเนื่องแล้ว เราก็ต้องพิจารณาเลือกกองทุนปันผลที่มี Dividend Yield สูง มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ทั้งนี้การที่กองทุนจ่ายปันผลออกมามากก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะเงินปันผลนั้นถูกจ่ายออกมาจากกำไรที่กองทุนทำได้ เสมือนกำไรที่จ่ายออกมาจากหุ้น ถ้าหากบริษัทใดจ่ายปันผลมาก ก็จะมีเงินที่นำกลับไปลงทุนเพื่อขยายกิจการน้อยลง เช่นเดียวกันกับกองทุน ถ้ากองทุนจ่ายปันผลออกมามาก เงินที่เหลือในกองทุนก็จะน้อยลง และส่งผลให้มีโอกาสที่เงินจะทบต้นในกองทุนน้อยลงนั่นเอง ทั้งนี้การที่กองทุนจ่ายปันผลออกมามากก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะเงินปันผลนั้นถูกจ่ายออกมาจากกำไรที่กองทุนทำได้ เสมือนกำไรที่จ่ายออกมาจากหุ้น ถ้าหากบริษัทใดจ่ายปันผลมาก ก็จะมีเงินที่นำกลับไปลงทุนเพื่อขยายกิจการน้อยลง เช่นเดียวกันกับกองทุน ถ้ากองทุนจ่ายปันผลออกมามาก เงินที่เหลือในกองทุนก็จะน้อยลง และส่งผลให้มีโอกาสที่เงินจะทบต้นในกองทุนน้อยลงนั่นเอง นอกจากนี้ต้องไม่ลืมว่าปันผลที่เราได้ออกมานั้นต้องเสียภาษี 10% ด้วย และเงินปันผลที่เอาออกมานั้นเป็นส่วนที่จะไม่ได้ทำให้เงินต้นเรางอกเงยเพิ่มจากกฎการทบต้นอย่างที่กล่าวไปแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของการเลือกกองทุนปันผลแล้วว่าเราต้องการอะไร ก็จะเข้าใจว่าต้องได้อย่างเสียอย่าง นอกจากนี้ต้องไม่ลืมว่าปันผลที่เราได้ออกมานั้นต้องเสียภาษี 10% ด้วย และเงินปันผลที่เอาออกมานั้นเป็นส่วนที่จะไม่ได้ทำให้เงินต้นเรางอกเงยเพิ่มจากกฎการทบต้นอย่างที่กล่าวไปแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของการเลือกกองทุนปันผลแล้วว่าเราต้องการอะไร ก็จะเข้าใจว่าต้องได้อย่างเสียอย่าง แต่อย่างไรก็ตามก็มีหลายกองทุนที่มีการจ่ายปันผลออกมาได้เยอะ และมูลค่าปัจจุบันของกองทุนก็ยังมากอยู่ เมื่อรวมปันผลด้วยแล้วยังกำไร จึงเป็นที่มาของการรวบรวมกองทุนปันผล Best in Class ที่เรานำมาเสนอในวันนี้ แต่อย่างไรก็ตามก็มีหลายกองทุนที่มีการจ่ายปันผลออกมาได้เยอะ และมูลค่าปัจจุบันของกองทุนก็ยังมากอยู่ เมื่อรวมปันผลด้วยแล้วยังกำไร จึงเป็นที่มาของการรวบรวมกองทุนปันผล Best in Class ที่เรานำมาเสนอในวันนี้ รวมกองทุนปันผล Best in Class 3 ปีย้อนหลัง กองไหนปันผลดี และรวม Capital Gain แล้วยังกำไร? ในส่วนนี้เรารวบรวมกองทุนในแต่ละ Class มาให้แล้ว และได้ยกตัวอย่างว่า ถ้าหากเราได้ลงทุนเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2018 เวลาผ่านมา 3 ปี ในวันที่ 21 กรกฎาคม 2021 แต่ละกองทุนได้จ่ายปันผลออกมาเท่าไร โดยเราได้แสดงข้อมูลสำคัญ 3 ส่วนคือ ในส่วนนี้เรารวบรวมกองทุนในแต่ละ Class มาให้แล้ว และได้ยกตัวอย่างว่า ถ้าหากเราได้ลงทุนเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2018 เวลาผ่านมา 3 ปี ในวันที่ 21 กรกฎาคม 2021 แต่ละกองทุนได้จ่ายปันผลออกมาเท่าไร โดยเราได้แสดงข้อมูลสำคัญ 3 ส่วนคือ % ปันผลรวม 3 ปี จาก App FIN Premium ซึ่งคำนวณมาจาก Dividend/NAV ของกองทุนที่จ่ายปันผลในแต่ละครั้ง แล้วนำมารวมกันตลอดระยะเวลา 3 ปี
% ปันผลเฉลี่ยต่อปี คำนวณมาจากข้อ (1) หารด้วย 3 ปี ซึ่งเป็นตัวเลขให้พอดูได้คร่าวๆ เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว กองทุนไม่ได้จ่ายปันผลด้วยอัตรานี้ตลอด
Total Gain/Loss คำนวณมาจาก เงินปันผลที่ได้รับ (Dividend) + กำไรส่วนต่างของราคา (Capital Gain/Loss) ตลอดระยะเวลา 3 ปี % ปันผลรวม 3 ปี จาก App FIN Premium ซึ่งคำนวณมาจาก Dividend/NAV ของกองทุนที่จ่ายปันผลในแต่ละครั้ง แล้วนำมารวมกันตลอดระยะเวลา 3 ปี % ปันผลเฉลี่ยต่อปี คำนวณมาจากข้อ (1) หารด้วย 3 ปี ซึ่งเป็นตัวเลขให้พอดูได้คร่าวๆ เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว กองทุนไม่ได้จ่ายปันผลด้วยอัตรานี้ตลอด Total Gain/Loss คำนวณมาจาก เงินปันผลที่ได้รับ (Dividend) + กำไรส่วนต่างของราคา (Capital Gain/Loss) ตลอดระยะเวลา 3 ปี ในกรณีที่ Total Gain/Loss เป็นบวก เป็นไปได้ 2 กรณีคือ เป็นไปได้ 2 กรณีคือ กองทุนนั้นเติบโตได้ดีมาจากส่วนต่างของราคา (Capital Gain) แม้ว่าจะจ่ายปันผลออกมาแล้วหลายครั้ง มูลค่าเงินในกองยังคงเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ผลรวมของ Dividend และ Capital Gain ซึ่งก็คือ Total Gain/Loss โดยรวมเป็นบวก
หลังจากจ่ายปันผลเรื่อย ๆ มูลค่าเงินในกองอาจจะเติบโตได้ไม่ไวมาก กองทุนอาจจะขาดทุนในส่วนต่างของราคา (Capital Loss) แต่เมื่อรวมปันผลกลับมาแล้วก็ยังทำให้กำไร หรือ Total Gain/Loss โดยรวมเป็นบวก กองทุนนั้นเติบโตได้ดีมาจากส่วนต่างของราคา (Capital Gain) แม้ว่าจะจ่ายปันผลออกมาแล้วหลายครั้ง มูลค่าเงินในกองยังคงเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ผลรวมของ Dividend และ Capital Gain ซึ่งก็คือ Total Gain/Loss โดยรวมเป็นบวก หลังจากจ่ายปันผลเรื่อย ๆ มูลค่าเงินในกองอาจจะเติบโตได้ไม่ไวมาก กองทุนอาจจะขาดทุนในส่วนต่างของราคา (Capital Loss) แต่เมื่อรวมปันผลกลับมาแล้วก็ยังทำให้กำไร หรือ Total Gain/Loss โดยรวมเป็นบวก ในกรณีที่ Total Gain/Loss เป็นลบ แสดงว่ากองทุนจ่ายปันผลออกมาแล้วหุ้นที่กองทุนถือมีมูลค่าลดลง NAV จึงลดลง เราจึงขาดทุนแม้จะได้ปันผลมามากแค่ไหนแล้วก็ตาม แสดงว่ากองทุนจ่ายปันผลออกมาแล้วหุ้นที่กองทุนถือมีมูลค่าลดลง NAV จึงลดลง เราจึงขาดทุนแม้จะได้ปันผลมามากแค่ไหนแล้วก็ตาม สรุปกองทุนปันผล Best in Class 3 ปีย้อนหลัง แบบ Top 5 เรียงลำดับตาม % เงินปันผล 3 ปีย้อนหลังจากมากไปน้อย (Index Funds & Active Developed Market เป็น Top 4) ดูจากในรูปได้เลย สรุปกองทุนปันผล Best in Class 3 ปีย้อนหลัง แบบ Top 5 เรียงลำดับตาม % เงินปันผล 3 ปีย้อนหลังจากมากไปน้อย (Index Funds & Active Developed Market เป็น Top 4) ดูจากในรูปได้เลย ทั้งนี้การคำนวณจำนวนเงินปันผลที่ได้รับที่ถูกต้องจริง ๆ จะต้องนำเงินปันผลต่อหน่วยที่แต่ละกองทุนจ่ายจริงตลอดระยะเวลา 3 ปี คูณกับจำนวนหน่วยที่ได้ตอนซื้อกองทุนครั้งแรกเมื่อ 3 ปีที่แล้ว จึงเป็นที่มาของตัวอย่างที่คำนวณออกมาเป็นตัวเงิน ซึ่งจะเห็นภาพชัดและเข้าใจขึ้น สามารถดูได้จากรูปด้านล่าง เราได้ยกตัวอย่างว่าถ้าเริ่มลงทุนด้วยเงิน 1 ล้านบาท เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ปัจจุบันจะได้เงินปันผลรวมก่อนหักภาษี และ Total Gain/Loss (ปันผล + กำไรส่วนต่างของราคา) เป็นเท่าไร ทั้งนี้การคำนวณจำนวนเงินปันผลที่ได้รับที่ถูกต้องจริง ๆ จะต้องนำเงินปันผลต่อหน่วยที่แต่ละกองทุนจ่ายจริงตลอดระยะเวลา 3 ปี คูณกับจำนวนหน่วยที่ได้ตอนซื้อกองทุนครั้งแรกเมื่อ 3 ปีที่แล้ว จึงเป็นที่มาของตัวอย่างที่คำนวณออกมาเป็นตัวเงิน ซึ่งจะเห็นภาพชัดและเข้าใจขึ้น สามารถดูได้จากรูปด้านล่าง เราได้ยกตัวอย่างว่าถ้าเริ่มลงทุนด้วยเงิน 1 ล้านบาท เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ปัจจุบันจะได้เงินปันผลรวมก่อนหักภาษี และ Total Gain/Loss (ปันผล + กำไรส่วนต่างของราคา) เป็นเท่าไร เด็กการเงิน DekFinance เด็กการเงิน DekFinance ที่มาบทความ: ที่มาบทความ: คำเตือน คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | กองทุนปันผล เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการ Cash flow ไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน หรือถ้าหากในสภาวะตลาดขาลง การได้รับปันผลมาเก็บไว้ก่อน ก็จะช่วยให้มูลค่าเงินรวมขาดทุนน้อยลงนั่นเอง ถ้าวัตถุประสงค์คือ ต้องการ Cash flow อย่างต่อเนื่องแล้ว ก็ต้องพิจารณาเลือกกองทุนปันผลที่มี Dividend Yield สูง มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ
ทั้งนี้การที่กองทุนจ่ายปันผลออกมามากก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะเงินปันผลนั้นถูกจ่ายออกมาจากกำไรที่กองทุนทำได้ เสมือนกำไรที่จ่ายออกมาจากหุ้น ถ้าหากบริษัทใดจ่ายปันผลมาก ก็จะมีเงินที่นำกลับไปลงทุนเพื่อขยายกิจการน้อยลง เช่นเดียวกันกับกองทุน ถ้ากองทุนจ่ายปันผลออกมามาก เงินที่เหลือในกองทุนก็จะน้อยลง และส่งผลให้มีโอกาสที่เงินจะทบต้นในกองทุนน้อยลงนั่นเอง
นอกจากนี้ ต้องไม่ลืมว่าปันผลที่ได้ออกมานั้นต้องเสียภาษี 10% ด้วย และเงินปันผลที่เอาออกมานั้นเป็นส่วนที่จะไม่ได้ทำให้เงินต้นงอกเงยเพิ่มจากกฎการทบต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของการเลือกกองทุนปันผลแล้วว่าต้องการอะไร ก็จะเข้าใจว่าต้องได้อย่างเสียอย่าง แต่อย่างไรก็ตามก็มีหลายกองทุนที่มีการจ่ายปันผลออกมาได้เยอะ และมูลค่าปัจจุบันของกองทุนก็ยังมากอยู่ เมื่อรวมปันผลด้วยแล้วยังกำไร จึงเป็นที่มาของการรวบรวมกองทุนปันผล Best in Class | 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Medical_19998 | Medical | จงสรุปบทความเรื่อง "รับมือยังไงกับคำว่า เรื่องแค่นี้จะเครียดทำไม" ให้ด้วยค่ะ | หน้าแรก บทความ รับมือยังไงกับคำว่า เรื่องแค่นี้จะเครียดทำไม รับมือยังไงกับคำว่า เรื่องแค่นี้จะเครียดทำไม นาถวีณา ดำรงพิพัฒน์สกุล นักจิตวิทยาคลินิก โรงพยาบาลมนารมย์ TweetShare+1E-mail “เครียดทำไม เรื่องนิดเดียว...” “ไม่เป็นเรา คุณไม่รู้หรอก” หลายคนคงเคยเผชิญหน้ากับคำพูดที่คล้ายคลึงกับสถานการณ์ข้างต้นมาก่อน เมื่อรู้สึกเครียดมากกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ แต่คนที่อยู่รอบๆ กลับมองเห็นเป็นเรื่องเล็กที่ควรจัดการกับมันได้ โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ จึงไม่แปลกที่คิดว่าคนอื่นไม่ใช่ตัวเรา ไม่ได้ยืนอยู่จุดเดียวกัน เขาจึงไม่รู้และไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ต้องเจอมันรบกวนจิตใจมากแค่ไหน ความเครียด เป็นการตอบสนองทางร่างกายและจิตใจที่มีต่อสิ่งที่ประเมินว่าแล้วเป็นภัยคุกคาม ซึ่งต่างคนต่างมีรูปแบบของสิ่งกระตุ้นความเครียด กลวิธีในการเผชิญหน้าและจัดการความเครียดแตกต่างกันไป รวมถึงต้นทุนที่มีอยู่ในตัวเองเพื่อรับมือกับความเครียดของแต่ละบุคคลก็อาจไม่เท่ากัน ดังนั้น ระดับความเครียดต่อปัญหาหนึ่งของแต่ละคนจึงไม่เท่ากันตามไปด้วย โดยบางคนอาจปรับตัวได้ ในขณะที่ใครอีกหลายคนอาจปรับตัวหรือรับมือกับมันไม่ไหวเลยก็ได้เช่นกัน แน่นอนว่าการได้ยินคำพูดในทำนองว่า “มันเป็นเรื่องเล็ก” “ทำไมถึงจัดการไม่ได้ ทั้งที่เป็นเรื่องเล็กน้อยขนาดนั้น” หรือ “แค่นี้จะเครียดไปทำไม” สำหรับคนที่กำลังเครียดอย่างมาก ก็อาจทำให้บั่นทอนจิตใจไม่น้อยทีเดียว คำพูดเหล่านี้มักทำให้เกิดความคิดว่าตนเองไม่สามารถจัดการปัญหาได้ เกิดความขุ่นข้องใจว่าคนอื่นไม่ได้มองมุมเดียวกับเรา เขาจะเข้าใจอะไร ส่งผลให้ความรู้สึกทางลบเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังเศร้าและเครียดมากขึ้นอีกด้วย และนั่นอาจทำให้การปรับตัวต่อความเครียดแย่ลง แล้วทีนี้...จะทำยังไงดีเมื่อต้องเจอคำพูดแบบนี้ ในทุกวันนี้มีโอกาสได้ยินคำพูดลักษณะนี้อยู่แล้ว สิ่งที่พอทำได้ คือ การประเมินตนเอง ดูว่าสภาพร่างกายและจิตใจได้รับผลกระทบจากปัญหาหรือคำพูดเหล่านี้มากแค่ไหน รวมถึงสามารถรับมือกับความรู้สึกทางลบในใจอย่างไรได้บ้าง ซึ่งอาจใช้กลวิธีในการเผชิญปัญหาเพื่อให้ปรับตัวได้ดีขึ้นดังต่อไปนี้ • จัดการแบบมุ่งเน้นอารมณ์ เมื่อรู้สึกไม่ดีมาก มีความกังวลหรือไม่สบายใจเกิดขึ้น หรือถ้อยคำเหล่านั้นรบกวนมากเกินไป จนประสิทธิภาพในการรับมือกับปัญหาต่างๆ ลดลง ควรถอยออกมาเพื่อสร้างระยะห่าง ยกตัวเองออกจากปัญหาเพื่อผ่อนคลายและสงบจิตใจก่อนกลับไปเผชิญหน้ากับมันอีกครั้ง ซึ่งสามารถใช้งานอดิเรกหรือสิ่งที่สนใจมาช่วยได้ เช่น การอ่านหนังสือ เล่นดนตรี เล่นกีฬา หรือนั่งสมาธิ • จัดการแบบมุ่งเน้นปัญหา หากประเมินแล้วว่าพร้อมจัดการปัญหา มีเวลา มีความรู้และประสบการณ์ หรือมีเครื่องมือพร้อมแล้ว ก็อาจลงมือจัดการสะสางปัญหาโดยตรง เพื่อให้ตัวกระตุ้นความเครียดหมดไป ระดับความเครียดจะลดลงตาม และเมื่อปรับตัวได้ ความภาคภูมิใจในตัวเองจะเกิดขึ้นและมีมุมมองที่ดีกับตนเองมากขึ้นอีกด้วย ค้นหาแพทย์และนักบำบัด โทรนัดหมายแพทย์ ติดต่อสอบถาม อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม โรคเครียด หรือ Adjustment Disorder อย่าปล่อยให้ความเครียดครอบงำ สัญญานเตือนที่ต้องมาพบจิตแพทย์ จิตแพทย์ติวเข้ม วิธีสู้ ความเครียด หน้าร้อน คลายเครียดง่ายๆ ที่โต๊ะทำงาน | หลายคนเมื่อรู้สึกเครียดมาก แต่คนที่อยู่รอบๆ กลับมองเห็นเป็นเรื่องเล็กที่ควรจัดการได้ โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ จึงไม่แปลกที่คิดว่าคนอื่นไม่ใช่ตัวเรา ไม่ได้ยืนอยู่จุดเดียวกัน เขาจึงไม่รู้และไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ต้องเจอมันรบกวนจิตใจมากแค่ไหน
ความเครียด เป็นการตอบสนองทางร่างกายและจิตใจที่มีต่อสิ่งที่ประเมินว่าแล้วเป็นภัยคุกคาม ซึ่งมีรูปแบบของสิ่งกระตุ้นความเครียด กลวิธีในการเผชิญหน้าและจัดการความเครียดแตกต่างกัน รวมถึงต้นทุนที่มีในตัวเองเพื่อรับมือกับความเครียดของแต่ละบุคคลก็ไม่เท่ากัน ระดับความเครียดต่อปัญหาหนึ่งของแต่ละคนจึงไม่เท่ากันตามไปด้วย บางคนอาจปรับตัวได้ ในขณะที่อีกหลายคนอาจรับมือกับไม่ไหวเลยก็ได้ แน่นอนว่าการได้ยินคำพูดในทำนองว่ามันเป็นเรื่องเล็ก ทำไมถจัดการไม่ได้ หรือแค่นี้จะเครียดไปทำไม สำหรับคนที่กำลังเครียดอย่างมาก อาจทำให้บั่นทอนจิตใจไม่น้อย คำพูดเหล่านี้ทำให้เกิดความคิดว่าตนเองไม่สามารถจัดการปัญหาได้ เกิดความขุ่นข้องใจว่าคนอื่นไม่ได้มองมุมเดียวกับเรา เขาจะเข้าใจอะไร ส่งผลให้ความรู้สึกทางลบเพิ่มขึ้น
ทุกวันนี้มีโอกาสได้ยินคำพูดลักษณะนี้อยู่แล้ว สิ่งที่ทำได้ คือ ประเมินตนเองว่าสภาพร่างกายและจิตใจได้รับผลกระทบจากปัญหาเหล่านี้มากแค่ไหน สามารถรับมือกับความรู้สึกทางลบในใจอย่างไรไบ้าง ซึ่งอาจใช้วิธีดังต่อไปนี้
- จัดการแบบมุ่งเน้นอารมณ์ เมื่อรู้สึกไม่ดีมาก ถ้อยคำเหล่านั้นรบกวนมากเกินไป จนประสิทธิภาพในการรับมือกับปัญหาลดลง ควรถอยออกมาเพื่อสร้างระยะห่าง ยกตัวเองออกจากปัญหาเพื่อผ่อนคลายและสงบจิตใจก่อนกลับไปเผชิญหน้าอีกครั้ง สามารถใช้งานอดิเรกมาช่วยได้
- จัดการแบบมุ่งเน้นปัญหา อาจลงมือจัดการสะสางปัญหาโดยตรง เพื่อให้ตัวกระตุ้นความเครียดหมดไป | 3.จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Retail_54289 | Retail | อะไรคือกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ Amazon ขึ้นเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก และแซงหน้า Apple ไปได้? | จากรายงาน Brandz100 ปีนี้ Amazon ขึ้นเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แซงหน้า Apple ไปได้ โดยมีมูลค่าแบรนด์เพิ่มขึ้น 52% แตะที่ 3.155 แสนล้านเหรียญ กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ Amazon ประสบความสำเร็จมีดังนี้
1. การขยายสินค้าและบริการ: Amazon ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่แค่การเป็นผู้ค้าปลีกออนไลน์ แต่ขยายธุรกิจไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจรถยนต์ไร้คนขับ รถบรรทุกไฟฟ้า ธุรกิจการบิน ยารักษาโรค ธุรกิจเดลิเวอรี่
2. การเข้าซื้อกิจการ: Amazon เข้าซื้อกิจการบริษัทอื่นๆ อยู่เสมอเพื่อขยายฐานธุรกิจ ตัวอย่างล่าสุดคือการเข้าซื้อกิจการ Whole Foods Market ห้างสรรพสินค้าออร์แกนิก
3. วิธีการบริการลูกค้า: Amazon ให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้าเป็นอย่างมาก มุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า
4. การมีสินค้าที่แตกต่าง: Amazon มีสินค้าให้เลือกหลากหลายมากกว่าใครเพื่อน ครอบคลุมทุกประเภท
5. โมเดลธุรกิจแบบ Subscription: Amazon Prime เป็นโมเดลธุรกิจแบบ Subscription ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก มอบสิทธิพิเศษต่างๆ แก่สมาชิก เช่น การจัดส่งฟรี
6. การลงทุนด้านเทคโนโลยี: Amazon ลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง พัฒนา AI, Cloud Computing, Alexa
7. กลยุทธ์ด้านราคา: Amazon มักเสนอราคาสินค้าที่ถูกกว่าคู่แข่ง
8. การเข้าถึงลูกค้า: Amazon มีช่องทางการเข้าถึงลูกค้าหลากหลาย เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน ร้านค้าปลีก
9. การสร้างแบรนด์: Amazon สร้างแบรนด์ให้มีความน่าเชื่อถือ ปลอดภัย สะดวก
10. วัฒนธรรมองค์กร: Amazon เน้นวัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งเน้นลูกค้า มองหานวัตกรรม และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ผลลัพธ์: กลยุทธ์เหล่านี้ทำให้ Amazon ประสบความสำเร็จอย่างสูง กลายเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แซงหน้า Apple ไปได้
บทสรุป: กลยุทธ์ของ Amazon เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับธุรกิจค้าปลีกยุคใหม่ ธุรกิจที่ต้องการประสบความสำเร็จจำเป็นต้องขยายสินค้าและบริการ มุ่งเน้นบริการลูกค้า พัฒนาเทคโนโลยี นำเสนอราคาที่แข่งขันได้ เข้าถึงลูกค้าผ่านช่องทางต่างๆ สร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และมีวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนการเติบโต | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
||
Legal_7732 | Legal | คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๒๓๗/๒๕๕๖ พิพากษาว่าอย่างไร | คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๒๓๗/๒๕๕๖
โจทก์ร่วมยืนอยู่บริเวณประตูรถยนต์ตู้ของจำเลยเพียงลำพัง โดยมีบุคคลอื่นใดอยู่ร่วมกับโจทก์ร่วม ทั้งขณะนั้นจำเลยก็ล็อกประตูของรถยนต์ตู้อยู่ โจทก์ร่วมย่อมไม่สามารถเปิดประตูรถยนต์ตู้เข้าไปทำร้ายจำเลยได้ จึงไม่มีภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่จำเลยจะต้องกระทำเพื่อป้องกัน การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้อง...กันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่การที่โจทก์ร่วมกับพวกจอดรถขวางกั้นไม่ให้จำเลยถอยรถยนต์ตู้ออกจากที่เกิดเหตุ โดยจำเลยจะต้องไปรับพนักงานไปส่งยังที่หมายซึ่งเป็นภาระหน้าที่ในการประกอบอาชีพของจำเลย และโจทก์ร่วมมากระชากประตูรถยนต์ตู้และทุบกระจกรถยนต์ตู็อย่างแรงหลายครั้งอันเป็นการเข้าไปหาจำเลยโดยมีท่าทีคุกคามย่อมเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายรแงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๒
จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงโดยสภาพ สามารถทำอันตรายต่อชีวิตของผู้อื่นได้ ยิงโจทก์ร่วม ๑ นัด กระสุนปืนถูกบริเวณไหปลาร้าซ้าย ซึ่งเป็นบริเวณของอวัยวะสำคัญซึ่งอยู่ภายในร่างกายเป็นเหตุให้กระดูกไหปลาร้าหักแบบเปิดลมรั่วในปอดข้างซ้าย เส้นเลือดดำแขนข้างซ้ายฉีกขาด จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจทำให้โจทก์ร่วมถึงแก่ความตายได้ แม้จำเลยยิงโจทก์ร่วมเพียงนัดเดียว ก็ไม่ทำให้ความผิดของจำเลยเปลี่ยนแปลงไป เพราะเจตนาโดยเล็งเห็นผลนั้นมุ่งถึงลักษณะแห่งการกระทำและผลของการกระทำที่อาจเกิดขึ้นเป็นหลัก มิได้มุ่งถึงเจตนาของผู้กระทำเป็นหลัก ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วม คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๒๓๗/๒๕๕๖
โจทก์ร่วมยืนอยู่บริเวณประตูรถยนต์ตู้ของจำเลยเพียงลำพัง โดยมีบุคคลอื่นใดอยู่ร่วมกับโจทก์ร่วม ทั้งขณะนั้นจำเลยก็ล็อกประตูของรถยนต์ตู้อยู่ โจทก์ร่วมย่อมไม่สามารถเปิดประตูรถยนต์ตู้เข้าไปทำร้ายจำเลยได้ จึงไม่มีภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่จำเลยจะต้องกระทำเพื่อป้องกัน การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้อง...กันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่การที่โจทก์ร่วมกับพวกจอดรถขวางกั้นไม่ให้จำเลยถอยรถยนต์ตู้ออกจากที่เกิดเหตุ โดยจำเลยจะต้องไปรับพนักงานไปส่งยังที่หมายซึ่งเป็นภาระหน้าที่ในการประกอบอาชีพของจำเลย และโจทก์ร่วมมากระชากประตูรถยนต์ตู้และทุบกระจกรถยนต์ตู็อย่างแรงหลายครั้งอันเป็นการเข้าไปหาจำเลยโดยมีท่าทีคุกคามย่อมเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายรแงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๒
จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงโดยสภาพ สามารถทำอันตรายต่อชีวิตของผู้อื่นได้ ยิงโจทก์ร่วม ๑ นัด กระสุนปืนถูกบริเวณไหปลาร้าซ้าย ซึ่งเป็นบริเวณของอวัยวะสำคัญซึ่งอยู่ภายในร่างกายเป็นเหตุให้กระดูกไหปลาร้าหักแบบเปิดลมรั่วในปอดข้างซ้าย เส้นเลือดดำแขนข้างซ้ายฉีกขาด จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจทำให้โจทก์ร่วมถึงแก่ความตายได้ แม้จำเลยยิงโจทก์ร่วมเพียงนัดเดียว ก็ไม่ทำให้ความผิดของจำเลยเปลี่ยนแปลงไป เพราะเจตนาโดยเล็งเห็นผลนั้นมุ่งถึงลักษณะแห่งการกระทำและผลของการกระทำที่อาจเกิดขึ้นเป็นหลัก มิได้มุ่งถึงเจตนาของผู้กระทำเป็นหลัก ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมยืนอยู่บริเวณประตูรถย นต์ตู้ของจำเลยเพียงลำพัง โดยมีบุคคลอื่นใดอยู่ร่วมกับโจท ก์ร่วม ทั้งขณะนั้นจำเลยก็ล็อกประตูของ รถยนต์ตู้อยู่ โจทก์ร่วมย่อมไม่สามารถเปิดประต ูรถยนต์ตู้เข้าไปทำร้ายจำเลยได้ จึงไม่มีภยันตรายที่เกิดจากการป ระทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่ จำเลยจะต้องกระทำเพื่อป้องกัน การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ ร่วม จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่าการกระ ... กันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่การที่โจทก์ร่วมกับพวกจอดรถขวางกั้นไม่ให้จำเลยถอยรถยนต์ตู้ออกจากที่เกิดเหตุ โดยจำเลยจะต้องไปรับพนักงานไปส่งยังที่หมายซึ่งเป็นภาระหน้าที่ในการประกอบอาชีพของจำเลย และโจทก์ร่วมมากระชากประตูรถยนต์ตู้และทุบกระจกรถยนต์ตู็อย่างแรงหลายครั้งอันเป็นการเข้าไปหาจำเลยโดยมีท่าทีคุกคามย่อมเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายรแงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๒
จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงโดยสภาพ สามารถทำอันตรายต่อชีวิตของผู้อื่นได้ ยิงโจทก์ร่วม ๑ นัด กระสุนปืนถูกบริเวณไหปลาร้าซ้าย ซึ่งเป็นบริเวณของอวัยวะสำคัญซึ่งอยู่ภายในร่างกายเป็นเหตุให้กระดูกไหปลาร้าหักแบบเปิดลมรั่วในปอดข้างซ้าย เส้นเลือดดำแขนข้างซ้ายฉีกขาด จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจทำให้โจทก์ร่วมถึงแก่ความตายได้ แม้จำเลยยิงโจทก์ร่วมเพียงนัดเดียว ก็ไม่ทำให้ความผิดของจำเลยเปลี่ยนแปลงไป เพราะเจตนาโดยเล็งเห็นผลนั้นมุ่งถึงลักษณะแห่งการกระทำและผลของการกระทำที่อาจเกิดขึ้นเป็นหลัก มิได้มุ่งถึงเจตนาของผู้กระทำเป็นหลัก ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วม กันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่การที่โจทก์ร่วมกับพวกจอดรถข วางกั้นไม่ให้จำเลยถอยรถยนต์ตู้ ออกจากที่เกิดเหตุ โดยจำเลยจะต้องไปรับพนักงานไปส่ งยังที่หมายซึ่งเป็นภาระหน้าที่ ในการประกอบอาชีพของจำเลย และโจทก์ร่วมมากระชากประตูรถยนต ์ตู้และทุบกระจกรถยนต์ตู็อย่างแ รงหลายครั้งอันเป็นการเข้าไปหาจ ำเลยโดยมีท่าทีคุกคามย่อมเป็นกา รข่มเหงจำเลยอย่างร้ายรแงด้วยเห ตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ ร่วมในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตา จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร ้ายแรงโดยสภาพ สามารถทำอันตรายต่อชีวิตของผู้อ ื่นได้ ยิงโจทก์ร่วม ๑ นัด กระสุนปืนถูกบริเวณไหปลาร้าซ้าย ซึ่งเป็นบริเวณของอวัยวะสำคัญซึ ่งอยู่ภายในร่างกายเป็นเหตุให้ก ระดูกไหปลาร้าหักแบบเปิดลมรั่วใ นปอดข้างซ้าย เส้นเลือดดำแขนข้างซ้ายฉีกขาด จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจทำ ให้โจทก์ร่วมถึงแก่ความตายได้ แม้จำเลยยิงโจทก์ร่วมเพียงนัดเด ียว ก็ไม่ทำให้ความผิดของจำเลยเปลี่ ยนแปลงไป เพราะเจตนาโดยเล็งเห็นผลนั้นมุ่ งถึงลักษณะแห่งการกระทำและผลของ การกระทำที่อาจเกิดขึ้นเป็นหลัก มิได้มุ่งถึงเจตนาของผู้กระทำเป | คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๒๓๗/๒๕๕๖ พิพากษาว่า
โจทก์ร่วมยืนอยู่บริเวณประตูรถยนต์ตู้ของจำเลยเพียงลำพัง โดยมีบุคคลอื่นใดอยู่ร่วมกับโจทก์ร่วม ทั้งขณะนั้นจำเลยก็ล็อกประตูของรถยนต์ตู้อยู่ โจทก์ร่วมย่อมไม่สามารถเปิดประตูรถยนต์ตู้เข้าไปทำร้ายจำเลยได้ จึงไม่มีภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่จำเลยจะต้องกระทำเพื่อป้องกัน การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้อง...กันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่การที่โจทก์ร่วมกับพวกจอดรถขวางกั้นไม่ให้จำเลยถอยรถยนต์ตู้ออกจากที่เกิดเหตุ โดยจำเลยจะต้องไปรับพนักงานไปส่งยังที่หมายซึ่งเป็นภาระหน้าที่ในการประกอบอาชีพของจำเลย และโจทก์ร่วมมากระชากประตูรถยนต์ตู้และทุบกระจกรถยนต์ตู็อย่างแรงหลายครั้งอันเป็นการเข้าไปหาจำเลยโดยมีท่าทีคุกคามย่อมเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายรแงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๒
จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงโดยสภาพ สามารถทำอันตรายต่อชีวิตของผู้อื่นได้ ยิงโจทก์ร่วม ๑ นัด กระสุนปืนถูกบริเวณไหปลาร้าซ้าย ซึ่งเป็นบริเวณของอวัยวะสำคัญซึ่งอยู่ภายในร่างกายเป็นเหตุให้กระดูกไหปลาร้าหักแบบเปิดลมรั่วในปอดข้างซ้าย เส้นเลือดดำแขนข้างซ้ายฉีกขาด จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจทำให้โจทก์ร่วมถึงแก่ความตายได้ แม้จำเลยยิงโจทก์ร่วมเพียงนัดเดียว ก็ไม่ทำให้ความผิดของจำเลยเปลี่ยนแปลงไป เพราะเจตนาโดยเล็งเห็นผลนั้นมุ่งถึงลักษณะแห่งการกระทำและผลของการกระทำที่อาจเกิดขึ้นเป็นหลัก มิได้มุ่งถึงเจตนาของผู้กระทำเป็นหลัก ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วม | 72.คำพิพากษาศาลฎีกา,2.ประมวลกฎหมายอาญา,65.กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2492 | Finance | การลดหย่อนภาษี LTF กับ RMF ต่างกันอย่างไร | วัตถุประสงค์การจัดตั้ง
กองทุน LTF สนับสนุนการลงทุนระยะยาวผ่านกองทุนรวม และส่งเสริมตลาดหุ้นไทย
ส่วนกองทุน RMF สนับสนุนให้ออมเงิน ไว้ใช้ในยามเกษียณ ไม่เป็นภาระลูกหลาน
นโยบายกองทุน
กองทุน LTF เน้นลงทุนในหุ้นเป็นหลัก ความเสี่ยงสูง
ส่วนกองทุน RMF ลงทุนหลากหลาย เช่น หุ้น ทอง พันธบัตรฯ ความเสี่ยงมีหลายระดับ
เงินลงทุนขั้นต่ํา
กองทุน LTF ไม่มีกําหนดเงินลงทุนขั้นต่ํา แต่ห้ามซื้อเกิน 15% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 500,000 บาท
ส่วนกองทุน RMF เงินลงทุนขั้นต่ําไม่น้อยกว่า 3% ของเงินได้ หรือไม่น้อยกว่า 5,000 บาท แต่ห้ามซื้อเกิน 15% ของรายได้ทั้งปี และหากรวมกับ กบจ. แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ระยะเวลาการลงทุน
กองทุน LTF ไม่น้อยกว่า 7 ปีปฏิทิน
ส่วนกองทุน RMF ไม่น้อยกว่า 5 ปี (นับแบบวันชนวัน) และต้องอายุครบ 55 ปี ถึงขายคืนได้
เงื่อนไขความต่อเนื่อง
กองทุน LTF ไม่จําเป็นต้องซื้อทุกปี อยากลดหย่อนปีไหน ก็ซื้อปีนั้น
ส่วนกองทุน RMF เมื่อเริ่มซื้อแล้ว ต้องซื้อต่อเนื่อง อย่างน้อยปีเว้นปี ถ้าลืมซื้อเกิน 2 ปี ให้รีบปรึกษาเจ้าหน้าที่สรรพากร
สิทธิประโยชน์ทางภาษี
กองทุน LTF เงินซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน LTF จะได้รับยกเว้นภาษีตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15 % ของเงินได้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 5 แสนบาท
ส่วนกองทุนRMF เงินซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน RMF จะได้รับยกเว้นภาษีตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15 % ของเงินได้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 500,000 และหากรวมเงินสะสม กบข. แล้วต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
แล้วกองไหนเหมาะกับใคร?
กองทุน LTF เหมาะกับผู้ต้องการลดหย่อนภาษี อยากลงทุนในหุ้นระยะยาว แต่ไม่มีความชํานาญ และต้องรับความเสียงได้ด้วย
ส่วนกองทุนRMF เหมาะกับผู้ต้องการลดหย่อนภาษี ต้องการออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ ด้วยการลงทุนระยะยาว แต่ไม่มีความชํานาญ และต้องรับความเสี่ยงได้ด้วย | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Subsets and Splits